10 กฏหมายข้อบังคับ เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวและอวกาศ

ถ้าพูดถึงเรื่องราวการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวยังถือเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนธรรมดาเดินดินแบบเราๆ แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่เคยรู้เลยว่า ทางสหประชาชาติและสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาเอง ได้มีกฏหมายอย่างทางอย่างเป็นทางการในกรณีที่คุณต้องพบเจอกับมนุษย์ต่างดาว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวติดต่อมาหาคุณ หรือจะเป็นการที่นักบินอวกาศไปเจอกับอารยธรรมต่างดาวเข้าให้ และนี่ก็คือ 10 กฏหมายข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตามหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

 

1. นักบินอวกาศต้องถูกกักกันตัวไว้หลังกลับจากอวกาศ

 

ในปี 1969 รัฐสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกได้ออกกฏหมายพิเศษที่ระบุว่า มนุษย์อวกาศทุกคนที่เดินทางกลับจากอวกาศจะต้องถูกกักกันตัวป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้พาสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวติดมาด้วย ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม อย่างเช่น เชื้อโรคที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน อย่างไรก็ตามกฏหมายได้ถูกยกเลิกไปในปี 1977 หลังไม่พบสิ่งผิดปกติจากการเดินทางไปอวกาศหลายครั้ง

 

2. ถ้าพบสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว ต้องรายงานสหประชาชาติทันที

 

ในปี 1967 ทางสหประชาชาติได้ทำสนธิสัญญาที่เรียกว่า “สนธิสัญญาอวกาศ” (Outside Space Treaty) โดยมีการลงนามกว่า 125 ประเทศ ว่าด้วยการสำรวจและใช้พื้นที่ในอวกาศ รวมถึงดวงจันทร์และดวงดาวอื่นๆ โดยมีการระบุเอาไว้ว่า “ประเทศที่เข้าร่วมสนธิสัญญาฉบับนี้ จะต้องแจ้งสหประชาชาติทันที หากมีการค้นพบปรากฏการณ์ใดๆ ก็ตามในอวกาศ” และในปี 2011 ได้มีการรวมการค้นพบสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเข้าไปด้วย

 

3. กฏการเริ่มต้นติดต่อกับสิ่งมีชีวิตต่างดาว

 

ที่ไหนมีน้ำ ที่นั่นอาจมีสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว ดังนั้น ในสนธิสัญญาอวกาศ จึงได้ระบุให้เป็น “พื้นที่พิเศษ” ที่มีกฏควบคุมในการเข้าไปสำรวจพื้นที่เหล่านี้ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากมนุษย์หรือเทคโนโลยีจากมนุษย์ ซึ่งรวมถึงรถโรเวอร์ของทางนาซ่า ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานการฆ่าเชื้อ ก็ยังไม่สามารถเข้าไปถ่ายภาพแหล่งน้ำเหล่านี้ได้

 

4. กฏหมายการตั้งอาณานิคมต่างดาว

 

ไม่มีมนุษย์หรือประเทศไหนๆ ที่สามารถเป็นเจ้าของพื้นที่บนดวงดาวได้ ดังนั้น ดวงดาวเหล่านี้จึงเป็นเหมือนประเทศของมนุษยชาติ แต่คำถามก็คือแล้วถ้าเกิดมีมนุษย์หลายๆ ชาติขึ้นไปอยู่อาศัยจนตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร เราจะนำกฏหมายประเทศไหนมาบังคับใช้ล่ะ? ในปี 1962 ทางสหประชาชาติจึงได้ใช้เงื่อนไขที่ระบุว่า หากประเทศไหนส่งยานอวกาศไปลงบนดาวอังคาร ก็จะยึดตามกฏหมายประเทศนั้น เช่น นาซ่า ก็จะต้องปฏิบัติตามกฏหมายสหรัฐอเมริกา

 

5. มนุษย์ต่างดาวก็ถือเป็นมนุษย์เช่นกัน

 

ในปี 1953 แอนดรูว ฮาเลย์ อดีตอัยการและรองประธานแห่งสหพันธ์ดาราศาสตร์ระหว่างประเทศได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการดูแลมนุษย์ต่างดาวเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์คนหนึ่ง โดยไอเดียของเขาได้ถูกขัดเขาโดย เอินสต์ ฟาซาน อัยการชาวออสเตรเลียได้ขัดเกลากฏหมายนี้ต่อมาจนได้เป็นกฏหลักๆ 3 ข้อคือ

 

1) มนุษย์ไม่ควรทำอันตรายต่อมนุษย์ต่างดาว

2) มนุษย์ต่างดาวและมนุษย์มีค่าเท่ากัน

3) มนุษย์ต่างดาวมีสิทธิ์ที่จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย 

 

6. มนุษย์อวกาศถือเป็นตัวแทนของเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ

 

สหประชาชาติได้มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการสำรวจอวกาศ โดยมีคติประจำใจที่ว่า “คุณจะไม่มีโอกาสครั้งที่สอง ในการสร้างความประทับใจแรก” นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า มนุษย์อวกาศผู้สิทธิ์เจอกับมนุษย์ต่างดาวมากกว่าใครๆ จะต้องรู้ระเบียบขั้นตอน และมารยาทในการติดต่อกับต่างดาวในครั้งแรกที่เจอ

 

7. มนุษย์ต่างดาวอาจต้องจ่ายภาษี

 

ตามประมวลกฏหมายสหรัฐมาตราหนึ่งระบุว่า อะไรก็ตามที่ถูกขายโดยสหรัฐอเมริกาในพื้นที่อวกาศ ให้ถูกพิจารณาว่าเป็นการถูกขายในประเทศสหรัฐอเมริกา และกฏหมายระบุว่า ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับการซื้อขายให้กับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้อาศัยอยู่บนโลก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมมนุษย์ต่างดาวถึงอาจต้องจ่ายภาษี

 

8. กฏ 7 ขั้นตอนสู่การติดต่อ

 

ในปี 1950 ทางกองทัพสหรัฐได้เผยแพร่กระบวนการที่เรียกว่า “7 ขั้นตอนสู่การติดต่อ” เพื่อใช้รับมือเวลาเราค้นพบสิ่งมีชวิตที่มีระดับใกล้เคียงกับมนุษย์ อยางเช่น การเริ่มต้นด้วยการเฝ้าระวังจากระยะไกล การรวบรวมข้อมูล จนไปถึงการเข้าถึงตัวเพื่อประเมินลักษณะการทำงานของยานพาหนะและอาวุธ และหนึ่งในนั้นก็มีการลักพาตัวเพื่อไปศึกษา (ในกรณีที่พวกเขามีเทคโนโลยีด้อยกว่า)

 

ในปี 1957 อันโตนิโอ วิลาส โบอัส ชายชาวบราซิลกลายเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะบุคคลที่ถูกลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาว และหลายคนเชื่อว่า การถูกลักพาตัวของเขา มีส่วนเชื่อมโยงกับกฏการติดต่อดังกล่าวนี้ด้วย

 

9. โครงการเซติ (SETI)

 

เซติ คือโครงการเพื่อค้นหาหลักฐานการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกที่ทรงภูมิปัญญา ด้วยการตรวจจับสัญญาณจากอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นคลื่อนวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ หรือแม้แต่แสง โดยมีกฏเหล็กก็คือ หากใครก็ตามที่ใช้การทดลองของเซติสามารถตรวจจับสัญญาณจากต่างดาวได้และถูกยืนยันว่าเป็นของจริง จะต้องมีการแบ่งปันข้อมูลระหว่างประเทศและกำหนด ‘ข้อมูลตอบกลับ’ ร่วมกัน ซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควร และไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตจากต่างดาว จะอดทนรอข้อมูลตอบกลับของเราได้นานแค่ไหน

 

10. มนุษย์ เป็นเจ้าของอวกาศ

 

จากที่กล่าวมาข้างต้นว่า สนธิสัญญาอวกาศได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ดวงดาวทั้งหมดเป็นประเทศของมนุษยชาติ และสหประชาชาติจะจัดการกับประเทศที่สร้างความเสียหายใดๆ ก็ตามกับดาวดวงอื่น แต่ปัญหาคือ สำหรับประเทศที่ไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาล่ะ พวกเขาอาจส่ง คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส คนที่ 2 ขึ้นไปปักธงเพื่อยึดดวงดาวสักดวง หรือบางประเทศอาจขอตอนตัวเพื่อไปหาอาณานิคมเพิ่มเติมก็เป็นได้ในอนาคต

 

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ

ที่มา : listverse | เรียบเรียงโดย เพชรมายา