12 เรื่องแปลกที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงชีวิตคุณเท่านั้น

ในโลกนี้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายทุกวัน และมีเรื่องราวที่น่าสนใจและน่าประหลาดใจอยู่เรื่อย ๆ วันนี้ เพชรมายาได้รวบรวมเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และยังทำให้ผู้คนประหลาดใจมาจนถึงทุกวันนี้มาให้ได้ชมกัน ซึ่งว่ากันว่า ในช่วงชีวิตของคุณอาจได้เห็นเรื่องแปลกเหล่านี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นก็เป็นได้

1. ทิโมธี บราวน์ ชายผู้หายขาดจากโรคเอดส์

ทิโมธี เรย์ บราวน์ ชาวอเมริกันที่รู้จักกันในนาม “ผู้ป่วยแห่งเบอร์ลิน” เป็นชายคนแรกของโลกที่หายขาดจากโรคเอดส์ โดยในปี 2007 เขาเป็นผู้ป่วยที่โรงพยาบาลเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน ซึ่งได้รับการปลูกถ่ายเซลล์เม็ดเลือดจากผู้บริจาคซึ่งมีการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม ส่งผลให้เขาได้รับภูมิต้านทานไวรัสเอดส์ด้วย

บราวน์ได้ตัดสินใจยุติการรักษาโรคเอดส์หลังจากการปลูกถ่ายเซลส์เม็ดเลือด
แต่เมื่อตรวจหาเชื้อไวรัสเอดส์ในเนื้อเยื่อและเซลส์เม็ดเลือดของเขา 3 ปีให้หลัง ก็ไม่พบเชื้อไวรัสเอดส์อีกเลย

2. น้ำตกไนแอการาไม่มีน้ำตก

ในปี 1969 รัฐบาลของสหรัญอเมริกาและแคนาดาได้ทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตกไนแอการาถล่มจากการกัดเซาะของน้ำ โดยการสร้างทางน้ำเทียมและเสริมคันกั้นน้ำเอาไว้ด้วย ช่วงเวลาดังกล่าวทำให้น้ำตกไม่มีน้ำตกไหลเลย ความแปลกนี้ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากหลั่งไหลไปชมให้เห็นกับตา

3. โรคหัวเราะไม่หยุดระบาดที่แทนกานยิกา ประเทศแทนซาเนีย

อันที่จริงการที่คนจำนวนมากมารวมตัวกันหัวเราะนั้นอาจจะเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว แต่นี่เป็นหนึ่งเดียวในโลกที่ได้รับการบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ โดยเสียงหัวเราะแห่งความสุขเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มกราคม 1962 เริ่มจากนักเรียนหญิง 3 คนในโรงเรียนคริสเตียนที่หัวเราะกันอย่างหยุดไม่ได้และลามไปยังนักเรียนอื่น ๆ รอบข้าง จนโรงเรียนต้องประกาศหยุดเรียน แต่การหัวเราะก็ยังคงลุกลามไปยังนักเรียนโรงเรียนอื่นในละแวกใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง

ปรากฏการณ์หัวเราะไม่หยุดนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องนานถึง 18 เดือน จนมีโรงเรียนที่ต้องประกาศหยุดเรียนถึง 18 แห่ง และจำนวนผู้ที่หัวเราะไม่หยุดนั้นมีมากมายนับพัน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเหตุที่เกิดอาการหัวเราะไม่หยุดนั้นมาจากกฏระเบียบของโรงเรียนที่เคร่งครัด และอาจารย์ในโรงเรียนเข้มงวดกับนักเรียนมากเกินไป การระเบิดเสียงหัวเราะนั้นเป็นกลไกการป้องกันตัวรูปแบบหนึ่งของเด็ก ๆ

4. นีโยส ทะเลสาบมรณะ

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1968 ทะเลสาบนีโยสได้คร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก เนื่องจากมีการระเหยของก๊าซคาร์บอนิกออกไซด์ที่เป็นพิษจากก้นทะเลสาบลอยขึ้นสู่อากาศและกลายเป็นหมอกมรณะที่ลอยไปยังเนินเขาไกลถึง 27 กิโลเมตร ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 1,700 รายและยังมีสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อีกมากที่เสียชีวิตจากหมอกนี้

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าก๊าซดังกล่าวเกิดจากการหมักใต้น้ำตามธรรมชาติ หรือมาจากภูเขาไฟที่ปะทุอยู่ใต้น้ำ ซึ่งก๊าซดังกล่าวได้ระเหยไปจนหมดแล้วในปัจจุบัน

5. การหายตัวไปของฝูงบินแห่งนอร์ฟอล์ก

ในเดือนสิงหาคม ปี 1915 นายพัน แฟรงค์ เรจินาลด์ เบ็ค ผู้บังคับหน่วยกองพันทหารอากาศแห่งนอร์ฟอล์กได้รับคำสั่งให้เข้าโจมตีที่หมู่บ้านอานาฟาร์ธาในประเทศตุรกี ปรากฏว่าเมื่อหน่วยกองพันออกบินนั้น ได้พบกับก้อนเมฆหมอกอันแสนประหลาดมาปกคลุมเส้นทาง และเมื่อบินผ่านพ้นเมฆหมอกดังกล่าว มีทหารหายตัวไปพร้อมเครื่องบินรบมากถึง 267 นาย

ซึ่งทางสหราชอาณาจักรเข้าใจว่าทหารที่หายตัวไปนั้นถูกจับเป็นเชลยศึก หลังจากตุรกีพ่ายสงครามในปี 1918 จึงได้ออกคำสั่งให้ทางการตุรกีปล่อยตัวและส่งทหารทั้งหมดกลับคืนภูมิลำเนา แต่ทว่าไม่มีใครเคยพบเห็นทหารกองพันนี้อีกเลยในสนามรบ

พยานที่พบเห็นปรากฏการณ์ดังกล่าวให้การว่าเมฆกลุ่มนั้นไม่ได้มีการเคลื่อนไหวจากแรงลมหรือเปลี่ยนรูปร่างแต่อย่างใด และยังมีทหารหลายนายพบเห็นเมฆหมอกประหลาดลักษณะนี้อีกจำนวนมากหลังจากฝูงบินแห่งนอร์ฟอล์กได้บินหายลับไป

6. รอยเท้าปีศาจแห่งเดวอน

เหตุการณ์นี้เกิดในเดวอนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1855 ซึ่งปรากฏรอยเท้ารูปทรงประหลาดคล้ายกีบเท้าบนหิมะที่ปกคลุมไปทั่วเมือง และยังพบบนหลังคาและปล่องไฟตามบ้านเรือนอีกด้วย แต่กลับไม่มีใครได้ยินเสียงใด ๆ หรือแม้แต่เสียงเดินบนหลังคาเลยก็ตาม

น่าเสียดายที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทันได้เข้ามาตรวจสอบรอยเท้าดังกล่าว หิมะที่ปกคลุมก็ละลายไปจนหมดไม่เหลือร่องรอยใด ๆ เลย แต่ก็เป็นที่เห็นพ้องกันว่าจะต้องเป็นรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตที่สามารถกระโดดได้สูงมาก ซึ่งน่าจะเป็นพวกหนูที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นซึ่งสามารถกระโดดได้สูงพอสมควร นอกเหนือจากนั้นคือจินตนาการของผู้คน ทำให้เกิดการร่ำลือเป็นเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับรอยเท้าปีศาจที่บุกมาเยี่ยมเยียน และมีภาพ “รอยเท้าปีศาจ” ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ลอนดอนนิวส์ ปี 1855

7. เด็กสาวชาวออสเตรเลียที่กรุ๊ปเลือดเปลี่ยน


เดมี ลี เบรนเนน เด็กสาวชาวออสเตรเลียอายุ 9 ขวบ ได้ถูกบันทึกอย่างเป็นทางการว่ากรุ๊ปเลือดของเธอนั้นเปลี่ยนไปหลังจากการผ่าตัดเปลี่ยนตับของผู้บริจาคเพศชายให้กับเธอ โดยแพทย์ได้ตรวจพบในภายหลังว่าเลือดของเธอมีกรุ๊ปเลือดเปลี่ยนจาก Rh- เป็น Rh+ ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากสเต็มเซลล์ของตับที่เปลี่ยนให้กับเธอ และเธอเองก็มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากการติดเชื่อไวรัสในกระแสเลือดด้วย

8. คดีปริศนากับหน้ากากตะกั่ว

เมื่อ 20 สิงหาคมปี 1966 มาโนเอล เพอร์เรรา ดา ครูซ วัย 32 ปี และ มิกูเอล โฮเซ วีอานา วัย 34 ปี ถูกพบเสียชีวิตปริศนาใกล้ ๆ กับเนินเขาวินเทม โดยทั้งคู่สวมเสื้อผ้าปกติแต่สวมหน้ากากตะกั่วไว้ ไม่มีร่องรายการถูกทำร้าย หรือการใช้ยาพิษใด ๆ แต่มีขวดน้ำ ผ้าเช็ดหน้า และกระดาษที่เขียนว่า “16:30 — ไปยังที่นัดหมาย 18:30 — ขึ้นรถ หลังจากนั้น…” ซึ่งข้อความที่เหลือไม่สามารถแปลความหมายออกมาได้ สามารถแกะคำได้แค่ “ตะกั่ว, ปกป้อง, รอสัญญาณ, หน้ากาก” ซึ่งคาดว่าทั้งประโยคจะเขียนว่า “ใส่หน้ากากป้องกันใบหน้าและรอสัญญาณ”

ญาติของทั้งสองให้การว่าพวกเขาเข้าร่วมลัทธิลับ ๆ ที่เชื่อถือในข้อมูลเกี่ยวกับเอเลี่ยน ซึ่งลัทธินี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการตายของพวกเขา

9. บันทึกของริคกี้ แมคคอร์มิค

ริคกี้ แมคคอร์มิค อายุ 41 ถูกพบเป็นศพเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1999 ในทุ่งข้าวโพดใกล้ ๆ บ้านของเขา โดยพบหลักฐานชิ้นสำคัญคือกระดาษที่จดบันทึกแปลก ๆ คล้ายรหัสลับในกระเป๋าของเขา แม้ว่า FBI จะเปิดให้ผู้คนทั่วไปลองถอดรหัสดูก็ยังไม่มีใครสามารถอ่านหรือถอดความในกระดาษนั้นออกมาได้จนถึงปัจจุบันนี้ แม้จะคาดเดากันว่าเขาอาจจะเสียชีวิตเนื่องจากมีโรคประจำตัว แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่านั่นเป็นสาเหตุการตายของเขา เพราะกว่าจะมีผู้พบร่างของเขา ศพก็เริ่มเน่าเปื่อยแล้ว และมันน่าแปลกที่เขาไปที่นั่นได้อย่างไรโดยที่ไม่มีรถยนต์ และเขาไปทำอะไรที่ทุ่งข้าวโพดนั่น

10. ดี บี คูเปอร์ สลัดอากาศผู้ล่องหน

แดน คูเปอร์ เป็นอาชญากรคนสำคัญคนหนึ่งในโลก ในปี 1971 เขาได้จี้เครื่องบินโบอิ้ง 727 และเรียกค่าไถ่เป็นเงินถึง $200,000 ในขณะนั้น โดยเขาได้ส่งกระดาษให้กับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินระบุว่าเขามีระเบิดพร้อมจุดชนวน และต้องการเพียงเงิน $200,000 และร่มชูชีพ 2 คู่เท่านั้น ซึ่งทาง FBI ตั้งข้อสังเกตว่าเขาจะต้องการร่มชูชีพถึง 4 ชุดไปทำไม หรือมีผู้สมรู้ร่วมคิดร่วมเดินทางไปด้วย?

เรื่องจบลงที่เขาได้สั่งให้นักบินออกจากเครื่องบิน แต่สุดท้ายก็เป็นเขาที่กระโดดออกจากเครื่องไปเอง และไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย ทาง FBI คาดการณ์ว่าเป็นเขาอาจจะเสียชีวิตเนื่องจากกระโดดออกมาในช่วงที่เครื่องบินกำลังบินฝ่าพายุอยู่ แต่เขาอาจจะหลบหนีหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ก็เป็นได้

11. การรำลึกถึง เอ็ดการ์ อัลลัน โพ

เป็นที่ร่ำลือกันเกี่ยวกับบุรุษปริศนาที่มาเยี่ยมหลุมศพของนักเขียน เอ็ดการ์ อัลลัน โพ ในวันที่ 19 มกราคมซึ่งเป็นวันเกิดของโพทุก ๆ ปี โดยจะปรากฏตัวในตอนเช้ามืดด้วยชุดสีดำพันผ้าพันคอปิดบังใบหน้าและถือไม้เท้า จากนั้นเขาจะวางขนมปัง กุหลาบแดง 3 ดอก และบรั่นดีมาร์เทลล์ไว้ที่หน้าหลุมศพ

เดากันว่าเขาอาจจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบผลงานการเขียนของโพ แต่ที่น่าทึ่งคือเขามาเยี่ยมหลุมศพแบบนี้ทุกปีต่อเนื่องกันยาวนานจนถึงปี 2010 เป็นเวลากว่า 50 ปี และสาเหตุที่เขาหยุดมาเยี่ยมหลุมศพอาจจะเป็นเพราะครบ 200 ปีของวันเกิดนักเขียนคนดังก็เป็นได้

12. นักโทษในหน้ากากเหล็ก

เรื่องเล่าขานที่โด่งดังมาจากนิยาย “ยุคสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14” ของวอลแตร์ผู้เป็นนักเขียนและนักปรัชญาผู้ทรงอิทธิพลของฝรั่งเศส คือนักโทษในหน้ากากเหล็กที่ถูกย้ายไปขังเดี่ยวตามคุกต่าง ๆ ในยุคศตวรรษที่ 16 ว่าเขาคือฝาแฝดของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้เป็นกษัตริย์ในสมัยนั้น โดยหน้ากากถูกทำด้วยกำมะหยี่แต่เมื่อเล่าลือต่อ ๆ กันมาก็แปรเปลี่ยนเป็นหน้ากากเหล็ก

อีกทฤษฎีหนึ่งก็เชื่อกันว่านักโทษที่อยู่ภายใต้หน้ากากนั้นคือจักรพรรดิปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย และผู้ที่กลับไปปกครองรัสเซียก็คือตัวแทนที่หน้าเหมือนพระองค์

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ

ที่มา : Bright Side | เรียบเรียง : เพชรมายา