13 ความแตกต่างของ เกาหลีเหนือ VS เกาหลีใต้ หลังแยกประเทศมา 70 ปี

ถึงแม้จะมีชื่อประเทศว่าเกาหลีเหมือนกัน แต่หลายๆ คนคงทราบกันดีว่า ประเทศเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้นั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่ระบอบการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมยุคใหม่ และความเจริญ ที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตลอด 70 ปีที่ผ่านมา หลังทั้ง 2 ประเทศแยกตัวออกจากกัน มันมีความแตกต่างกันมากมายจริงๆ และวันนี้เพชรมายาจะขอพาทุกท่านมาชมความแตกต่างของเกาหลีเหนือและใต้ดูว่า 70 ปีผ่านไป มีอะไรที่ทั้ง 2 ประเทศนี้แตกต่างกันบ้าง

1. เปียงยาง VS โซล

เปรียบเทียบเมืองหลวงของทั้งคู่ ค่อนข้างมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เพราะในโซล คุณสามารถเห็นตึกสูงขนาดใหญ่มากมายอยู่เต็มไปหมด ในขณะที่ตึกสูงของกรุงเปียงยาง เปรียบได้กับอพาร์ทเมนท์ของกรุงโซลหรือปูซานเท่านั้น

2. สะพานข้ามแม่น้ำ

ทั้ง 2 เมืองมีสะพานข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่ที่คล้ายกัน และมีมุมมองที่คล้ายกันมากๆ บนแม่น้ำฮัน ที่อยู่บนคาบสมุทรเกาหลีเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ อัตราการฆ่าตัวตายบนสะพานข้ามแม่น้ำของเกาหลีใต้สูงมาก เช่นเดียวกับการที่ผู้คนต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการแข่งขันที่สูง ทุกคนมีเป้าหมายเพื่อความสำเร็จในหน้าที่การงาน และการยอมรับจากสังคม

3. ใจกลางเมือง

ในย่านธุรกิจใจกลางเมืองของทั้งเปียงยางและโซล มีตึกสูงระฟ้าไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือความพลุกพล่านของผู้คนและแสงสียามค่ำคืน ที่คุณจะเห็นได้จากในโซลมากกว่าเปียงยาง

4. เขตที่อยู่อาศัย

เขตที่อยู่อาศัยของเกาหลีใต้จะเป็นอพาร์ทเมนท์เสียเป็นส่วนใหญ่ และราคาของมันจะสูงมากโดยเฉพาะอพาร์ทเมนท์เล็กๆ อาจมีราคาสูงถึง 6 ล้านบาท ส่วนผู้คนในเกาหลีเหนือไม่ต้องจ่ายค่าที่พักหรือบริการใดๆ ส่วนอพาร์ทเมนท์ก็จะมีให้ฟรีหลังจากมีการจดทะเบียนสมรส

5. แฟชั่น

หลายคนคิดว่าผู้หญิงในเกาหลีเหนือไม่สามารถใส่กางเกงได้ แต่นั่นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด แฟชั่นของสาวเกาหลีเหนืออาจจะดูไม่ฉูดฉาด และหาซื้อได้จากในซุปเปอร์มาร์เก็ตต่างประเทศ (สำหรับคนรวย) หรือจากผู้ชายในประเทศจีน ส่วนเกาหลีใต้เองถือว่าเป็นประเทศชั้นนำด้านแฟชั่นของโลกก็ว่าได้

6. การศึกษา

การศึกษาในเกาหลีเหนือ เด็กๆ จะต้องเข้าเตรียมอนุบาลก่อน 1 ปี และใช้ชีวิตต่อไปอีก 10 ปีในการศึกษาภาคบังคับ หลังจากนั้น เด็กวัยรุ่นที่หัวดีและเป็นลูกคนรวยก็จะเข้ามหาวิทยาลัยต่อไป ส่วนที่เหลือก็ต้องออกมาหางานทำ ส่วนวิชาที่เกี่ยวกับชาติตะวันตกถือเป็นวิชาหลักในโรงเรียน แต่คุณครูที่สอนส่วนใหญ่มักจะเป็นชาวแอฟริกัน ส่วนทางเกาหลีใต้ เด็กๆ จะใช้เวลา 12 ปี ในการศึกษาภาคบังคับก่อนที่ทุกคนจะพยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ ที่มีชื่อเสียงต่อไป

7. การจ้างงาน

จากภาพเราจะเห็นว่าช่วงเวลาพักของคนเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ก็ยังมีวัฒนธรรมที่ไม่แตกต่างกันมาก แต่ถ้าพูดถึงอัตราค่าจ้างล่ะก็ คนงานเกาหลีเหนือจะได้รับเงินราวๆ 100 บาทต่อวัน พร้อมกับตั๋วแลกอาหาร แต่ถ้าเทียบกับค่าจ้างของชาวเกาหลีใต้ล่ะก็ เรียกได้ว่ามากกว่าเป็น 100 เท่า

8. วัฒนธรรม

ในขณะที่ K-Pop โด่งดังไปทั่วโลก มีวงบอยแบนด์และเกิร์ลกรุ๊ปมากมายที่ผู้คนทั่วโลกรู้จัก แต่เกาหลีเหนือเองกลับมีเกิร์ลกรุ๊ปที่ถูกเลือกสมาชิกในวงโดย คิม จองอึน เท่านั้น ส่วนวัฒนธรรมด้านอื่นๆ บรรดาผู้แปรพักต์จากเกาหลีเหนือหลายคนที่ลี้ภัยมายังเกาหลีใต้ ต้องใช้เวลาราว 3 เดือน เพื่อปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในยุคสมัยใหม่

9. อาหาร

ประชาชนในเกาหลีเหนือไม่ได้อดอยากอย่างที่หลายคนคิด แต่สิ่งที่ขาดแคลนในเกาหลีเหนือก็คือผักและผลไม้โดยทั่วไปที่ไม่ใช่แอปเปิ้ลและกระหล่ำป รวมไปถึงอาหารจำพวกโปรตีน ที่เราจะเห็นได้จากผลลัพธ์ที่ชาวเกาหลีเหนือ มีส่วนสูงโดยเฉลี่ยเตี้ยกว่าชาวเกาหลีใต้ค่อนข้างมาก และด้วยการขาดเนื้อสัตว์บริโภคทำให้ชาวเกาหลีเหนือมักจะออกล่าพวกกบและเต่า ส่วนอาหารของชาวเมืองก็จะมีไส้กรอก ไอศกรีม ป๊อบคอร์น ซาลาเปาไส้เนื้อ

10. ขนส่งสาธารณะ

มีข่าวลือว่า รถไฟที่ใช้เดินทางในกรุงเปียงยางมีเพียงแค่ 3 สถานีเท่านั้น และมันถูกใช้ได้เฉพาะนักท่องเที่ยวเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะระบบรถไฟของเกาหลีเหนือถูกสร้างมาก่อนเกาหลีใต้เสียอีก แถมผู้คนทั่วไปก็ยังใช้ได้ตามปกติ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้ถูกพัฒนาจนไฮเทคเทียบเท่ากับเกาหลีใต้เท่านั้นเอง

นอกจากนั้นผู้คนทั่วไปยังสามารถเดินทางโดยรถเมล์หรือจักรยาน แต่ชาวเกาหลีเหนือไม่สามารถซื้อรถยนต์ขับเองได้ เพราะรถยนต์จะมีไว้สำหรับเฉพาะเจ้าหน้าที่ทางการทหารและการเมืองเท่านั้น

11. เทคโนโลยี

เกาหลีเหนือมีโรงงานผลิตทีวี แลปท็อป และสมาร์ทโฟน “อารีรัง” ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ที่เป็นของตัวเอง ถึงแม้มันจะถูกผลิตในประเทศจีน แต่ติดแบรนด์เป็นของเกาหลีเหนือก็ตาม และมีผู้คนเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่มีฐานะร่ำรวย ที่จะใช้ของเหล่านี้ได้

12. สิ่งสันทนาการ

ไม่น่าเชื่อว่าในเกาหลีเหนือก็มีสนามกอล์ฟไม่ต่างจากเกาหลีใต้แม้แต่น้อย แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ สนามกอล์ฟของเกาหลีเหนือไม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเล่นได้ แถมพวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามันคืออะไร จะมีก็แต่เพียงเจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้นที่ได้รับอนุญาต

สิ่งที่น่าประหลาดใจกว่านั้นก็คือ ในเกาหลีเหนือเองมีสวนน้ำมุนซู ที่เปิดตัวในปี 2013 ซึ่งถือเป็นสวนน้ำที่มีหน้าตาดูดีมีสีสัน มีสไลเดอร์ขนาดใหญ่ มีสระว่ายน้ำในร่ม ซึ่งถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของเกาหลีเหนือได้อย่างเหลือเชื่อ

13. บทสรุป

เกาหลีเหนืออาจได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความลับและปิดตัวเองมากที่สุดในโลก แต่เราไม่จำเป็นต้องเชื่อข่าวลือหลายๆ อย่างจากสื่อไปเสียทั้งหมด จนกว่าคุณจะได้ไปสัมผัสในประเทศนี้ได้ด้วยตนเอง และที่สำคัญอย่าลืมที่จะศึกษาหาข้อมูลให้ดีก่อนที่จะไป เพราะในเกาหลีเหนือเองก็มีข้อห้ามที่แตกต่างจากหลายๆ ประเทศ ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนอีกด้วย

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ

ที่มา : brightside | เรียบเรียงโดย เพชรมายา