7 เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติที่โด่งดังไปทั่วโลก แต่คุณอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน

เรื่องลึกลับบนโลกใบนี้มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน แต่ส่วนมากแล้วเราจะเคยได้ยินเรื่องลึกลับที่โด่งดังมากๆ อยู่เพียงไม่กี่เรื่อง อย่างเช่น สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เรื่องยูเอฟโอ เนสซี่ บิ๊กฟุต ซึ่งวันนี้เพชรมายาเองจะพาทุกท่านมาชมเรื่องลึกลับที่ถือว่าโด่งดังไปทั่วโลก แต่บางคนอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน ส่วนจะมีเรื่องอะไรบ้าง ลองไปชมกันได้เลย

1. รอยเท้าปีศาจ (Devil’s Footprints)

ในวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ 1855 ที่มณฑลเดวอน ใกล้กับแม่น้ำเอ็ก ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ มีหิมะตกอย่างหนัก รุ่งเช้าขึ้นมา ชาวเมืองต่างพบกับร่องรอยประหลาดบนพื้นหิมะและน้ำแข็งคล้ายรอยเท้าของสัตว์จำพวกสัตว์กีบ เช่น ลาหรือม้า ขนาดของรอยนั้นยาว 4 นิ้ว กว้าง 2 นิ้วเศษ ร่องรอยนี้ได้กระจายไปทั่วเมือง ราวกับว่าเจ้าของเท้านี้ได้เดินไปทั่วเมืองในเวลากลางคืนที่ผ่านมา ทั้งสนามหญ้าหรือท้องทุ่ง

แต่สิ่งที่ประหลาดก็คือ รอยนี้ดูเหมือนว่าจะเดินด้วยสองเท้าหลังเท่านั้น และมันปรากฏไปทั่วแม้แต่พื้นที่ๆ ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เช่น บนกำแพง ขอบหน้าต่าง หรือหลังคาบ้าน และแม้กระทั่งในท่อระบายน้ำที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 6 นิ้วเท่านั้น ส่วนความห่างระหว่างรอยมีความสม่ำเสมอกัน แต่ในบางจุดรอยเท้าก็เกิดห่างกันมาก เหมือนกับว่าเจ้าของรอยเท้านี้จะต้องกระโดดเป็นระยะทางที่ไกลมาก

รวมระยะทางที่ร่องรอยนี้ปรากฏเป็นระยะทางนับ 100 ไมล์ ซึ่งคงไม่มีสัตว์ชนิดไหนที่จะทำเช่นนี้ได้ภายในคืนเดียว รอยเท้านี้ไปสิ้นสุดลงที่เมืองลิมสโตน ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกัน คล้ายกับว่าได้หายตัวไปเฉย ๆ ซึ่งไม่มีผู้ใดทราบว่าเกิดจากการกระทำของสัตว์ชนิดใดหรือผู้ใด จึงเรียกกันว่า “รอยเท้าปีศาจ”

และในวันที่ 13 มีนาคม 2009 ปรากฏการณ์รอยเท้าปีศาจนี้ก็ได้กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง ณ มณฑลเดวอน เช่นเคยเหมือนในอดีตและก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่

2. ป่าฮอยา (Hoia Forest)

ป่าที่ดูธรรมๆ แห่งหนึ่ง ใกล้กับเมืองคลูช-นาโปกา ในภูมิภาคทรานซิลเวเนีย ประเทศโรมาเนีย ป่าแห่งนี้มีเนื้อที่ประมาณ 3 ตารางกิโลเมตร และได้ชื่อว่าเป็นป่าลึกลับที่เต็มไปด้วยเรื่องราวเหนือธรรมชาติไม่สามารถหาคำอธิบายได้ จนถูกขนานนามว่าเป็น “สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งทรานซิลเวเนีย” หรือ “สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งโรมาเนีย”

ใจกลางของป่าจะมีพื้นที่เป็นวงกลม เห็นได้ชัดจากบนท้องฟ้า ซึ่งวงกลมตรงนี้ไม่มีต้นไม้ใด ๆ ขึ้นอยู่เลยเป็นที่น่าประหลาด โดยไม่มีใครทราบเหตุผล และเมื่อถ่ายภาพด้วยกล้องจับความร้อนจากบนอากาศ ก็เห็นความร้อนที่ชัดเจนจากที่นี่ ผิดกับพื้นที่ป่าโดยรอบ และพื้นที่วงกลมนี้เป็นสถานที่ๆ มีรายงานเรื่องลึกลับมากที่สุดในป่า เช่น แสงไฟประหลาดที่มักปรากฏขึ้น หรือพลังงานลึกลับที่ไม่มีใครอธิบายได้

มีพยานหลายคนที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่แห่งนี้และเล่าว่าตัวเขาถูกอะไรบางอย่างผลักดันให้กระเด็นไปไกลราว 2–4 เมตร ซึ่งชาวบ้านท้องถิ่นที่อาศัยอยู่แถบนี้ต่างหวาดกลัวและไม่มีใครกล้าเข้าไปในป่านี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งเล่าว่า ในสมัยที่เธอยังเด็ก มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปในป่า ที่สุดก็หายไป ก่อนที่ถูกพบว่าทั้งหมดได้แขวนคอตาย แต่ผู้ที่อาศัยอยู่แถบนี้เชื่อว่าเป็นเพราะถูกอำนาจของผีหรือปิศาจที่สิงอยู่ในป่าบังคับให้พวกเขาทำเช่นนั้น

ในช่วงทศวรรษที่ 60 ศาสตราจารย์ อเล็กซานดรู ซิฟต์ นักวิชาการด้านชีววิทยาได้ลงพื้นที่สำรวจและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับป่าแห่งนี้ โดยได้ศึกษาถึงปรากฏการณ์แสงและพลังแม่เหล็กที่เกิดขึ้นที่นี่ โดยได้หลักฐานเป็นภาพถ่ายจำนวนมาก โดยเชื่อว่าอาจเชื่อมโยงกับยูเอฟโอ หรือสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก และได้รับความสนใจและศึกษามากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 70 แต่หลังจากซิฟต์เสียชีวิตไปในปี 1993 หลักฐานทั้งหมดก็หายไปด้วย และป่าแห่งนี้ก็ยังคงเป็นสถานที่ลึกลับตราบจนทุกวันนี้

3. ร็อด หรือ ร็อดส์ (Rod, Rods)

สิ่งมีชีวิตลึกลับที่ยังไม่มีการยืนยันว่ามีจริงหรือไม่หรือมันคือตัวอะไรกันแน่ แต่มันถูกเชื่อว่ามักจะปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆ และสามารถจับภาพได้ด้วยกล้องที่มีความเร็วสูง และเชื่อว่าหลังที่มันปรากฏตัวแล้ว สถานที่นั้นๆ จะพบกับภัยพิบัติต่างๆ เหมือนกับว่า ร็อด ได้มาเตือนให้ทราบล่วงหน้าก่อน

ลักษณะของร็อดมักถูกบรรยายว่ามีลำตัวทรงกระบอก มีความยาว 1-6 ฟุต บินด้วยความเร็วประมาณ 135-200 ไมล์ต่อชั่วโมง และอาจมีปีกหลายชุดหรือมีเยื่อปีกบาง ๆ ตลอดลำตัว บินเป็นเส้นตรงหรือทแยงมุมเหมือนขีปนาวุธด้วยความเร็วสูงจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ร็อด เป็นที่รู้จักเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 1994 จากโฮเซ เอสกามียา โดยนำรูปถ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่ได้ไปถ่ายรูปที่ทะเลทราย ในรัฐนิวเม็กซิโก และติดภาพร็อด นำออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงท้องถิ่น จากนั้นเอสกามียาได้จัดทำเว็บไซต์เกี่ยวกับร็อดขึ้นมา และร็อดก็ค่อยๆ เป็นที่รู้จักมากขึ้น ซึ่งเอสกามียาได้รวบรวมภาพถ่ายของร็อดได้มากกว่า 2,000 ภาพจากทั่วโลก และอ้างว่าร็อดปรากฏบนโลกมานานแล้ว

โดยมีภาพถ่ายในปี ค.ศ. 1910 ที่ฝรั่งเศส ระหว่างการแข่งขันรถยนต์ ที่มีลำตัวทรงกระบอก แม้จะมีการแย้งจากผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ว่าร็อดอาจจะเป็นเพียงแมลงหรือนกที่ทำให้ถูกบิดเบือนจากการถ่ายภาพ แต่เอสกามีญาแย้งว่า มีภาพของร็อดจำนวนมากที่ปรากฏในที่ที่สัตว์ไม่อาจจะอยู่ได้ เช่น ภาพของร็อดที่บินฝ่าพายุทอร์นาโดระดับเอฟ 5 ซึ่งเป็นระดับรุนแรงสูงสุด ในเดือนพฤษภาคม 1999 ที่โอคลาโฮมาซิตี และยังมีภาพที่เชื่อว่าเป็นร็อดที่โผล่มาจากทะเล ที่ถูกถ่ายโดยชาวประมงที่นอร์เวยเมื่อเดือนกรกฎาคม 1957 ด้วยฟิล์มขนาด 35 มม.

ส่วนหลักฐานที่เกี่ยวกับร็อดในยุคสมัยใหม่ที่เก่าสุด ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ในครอฟอร์ดวิลล์ รัฐอินเดียนา ในปี 1891 ว่าชาย 2 คนเห็นสิ่งแปลกๆ บินผ่านเหนือโรงปศุสัตว์พวกเขาตอนประมาณตี 2 พวกเขาอธิบายว่า มันเป็นสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนไม่มีหัวหรือหาง ยาวประมาณ 20 ฟุต กว้าง 8 ฟุต ขับเคลื่อนด้วยครีบที่ติดอยู่ พวกเขาเรียกมันว่า “สัตว์ประหลาดบนฟ้า” ที่แหวกว่ายผ่านอากาศไป

นอกจากภาพถ่ายแล้ว ยังมีผู้บันทึกภาพเคลื่อนไหวหรือภาพวิดีโอของร็อดได้ด้วย เช่น ในวันที่ 20 ตุลาคม 2002 นักถ่ายภาพท้องถิ่นคนหนึ่งถ่ายวิดีโอการขึ้นลงของเครื่องบินภายในสนามบินนานาชาติอัลบานี ในรัฐนิวยอร์ก และพบเห็นสิ่งที่คล้ายร็อดบินผ่านหน้ากล้องไปเพียงไม่กี่เฟรมระหว่างที่ทำการตัดต่อเทป เมื่อปรากฏเป็นข่าว วิดีโอชุดนี้เอฟบีไอได้ทำการยึดเอาไปตรวจสอบ เพราะเป็นเหตุการณ์หลังจากเหตุการณ์ 9/11 ไม่นาน เนื่องจากเรดาร์สนามบินไม่สามารถตรวจพบเจอ นอกจากนั้นก็ยังมีทั้งภาพและคลิปวีดีโอที่ถ่ายร็อดเอาไว้ได้อีกมากมายทั่วโลกด้วย

4. โวล์ฟ เมสซิ่ง (Wolf Messing)

นักพลังจิตชาวโปแลนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเมสซิ่งเป็นเด็กฉลาด เขาสามารถอ่านคัมภีร์โบราณของยิวได้อย่างแตกฉาน จนถูกชักนำให้ไปเรียนต่อด้านศาสนา แต่เมสซิ่งไม่ชอบและตัดสินใจออกไปท่องโลกกว้างคนเดียวตอนอายุเพียง 11 ปี และการใช้พลังจิตครั้งแรกของเขาก็เกิดขึ้นตอนที่ทดลองสะกดจิตพนักงานตรวจตั๋วรถไฟให้เห็นว่าเศษกระดาษที่เขายื่นให้ไปนั้นเป็นตั๋วรถไฟจริงๆ ซึ่งพนักงานก็ได้เอากระดาษแผ่นนั้นสอดเข้าไปในเครื่องเจาะรู และยื่นกลับคืนมาให้อย่างว่าง่าย

ครั้งหนึ่งเมสซิ่งเกิดเป็นลมหน้ามืดล้มลง และถูกนำตัวส่งเข้าโรงพยาบาล แพทย์ได้ทำการตรวจหัวใจของเขาแล้วพบว่า หยุดเต้น ไม่หายใจ จึงถูกนำร่างเข้าสู่ห้องเก็บศพ แต่ปรากฏว่าได้มีนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งได้ทำการตรวจร่างกายของเมสซิ่งอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง และพบว่าเมสซิ่งยังไม่ตาย เพียงแต่หัวใจและชีพจรเต้นอ่อนมากจนแทบจะวัดไม่ได้เลย ซึ่งต่อมาได้มีนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาด้านพลังจิตและเรื่องลึกลับนี้เชื่อว่า เหตุการณ์นี้เป็นการสะกดจิตตัวเอง

สิ่งที่ทำให้เขาโด่งดังอย่างมากก็คือการที่เขาเองได้พบปะกับบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากมาย เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, ซิกมันด์ ฟรอยด์ และมหาตมะ คานธี โดยเขาได้แสดงพลังจิตของตนเองให้ดู โดยในการทดสอบกับไอสไตน์และฟรอยด์ เมสซิ่งได้รับคำสั่งจากจิตของฟรอยด์ให้ดึงหนวดของไอน์สไตน์มา 3 เส้น ซึ่งก็ปรากฏว่าทำได้ตรงตามคำสั่ง และกับมหาตมะ คานธี เขาสามารถหยิบขลุ่ยขึ้นมาจากลิ้นชักบนโต๊ะและยื่นให้คานธีตามคำสั่งของคานธีจริง ๆ

และอีกครั้งหนึ่งที่สร้างความฮือฮาอย่างมากก็คือ เมสซิ่งสามารถหาเพชรประจำตระกูลมูลค่าสูงถึง 8 แสนเหรียญของคหบดีชาวโปแลนด์ที่หายไปในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งได้ โดยที่ก่อนหน้านั้นได้มีการระดมคนหาจนทั่วแล้วก็ไม่พบ แต่เมสซิ่งรู้ว่าเพชรซ่อนอยู่ในตุ๊กตาหมีในห้องของคนงานในบ้านคณบดีนั่นเอง เนื่องจากลูกชายคนเล็กของคนรับใช้ในบ้านเป็นผู้นำไปซ่อนเอง

ความสามารถของเมสซิ่งยังสามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อีกด้วย หลายต่อหลายครั้งที่ออกแสดง เมสซิ่งได้ทำนายเหตุการณ์สงครามไว้ว่า ดินแดนแถบคาบสมุทรบอลติก, ไบโลรัสเซีย, ยูเครน จะตกอยู่ภายใต้การยึดครองของนาซี หรือเป็นผู้ทำนายถึงจุดจบของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จนตัวเขาเองถูกทางนาซีไล่ล่าตัวอย่างหนัก ซึ่งทุกอย่างก็ปรากฏเป็นจริงดังคำทำนายทุกอย่าง

5. สามเหลี่ยมมังกร (Dragon ‘s Triangle)

สามเหลี่ยมมังกร หรือ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งแปซิฟิก คือพื้นที่บริเวณท้องทะเลของประเทศญี่ปุ่น ที่มีเนื้อที่เป็นรูปสามเหลี่ยม ตั้งอยู่รอบเกาะมิยาเกะ ห่างไปทางตอนใต้ของกรุงโตเกียวประมาณ 100 กม. ไปจรดถึงตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลฟิลิปปินส์ โดยพื้นที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาไม่ต่างอะไรจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแม้แต่น้อย เนื่องจากเรือหรือเครื่องบินที่ผ่านมาในบริเวณนี้จะหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

เรื่องราวของสามเหลี่ยมมังกร ปรากฏครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ของญี่ปุ่นในเดือนมกราคม 1955 เมื่อเรือ 9 ลำได้หายสาบสูญไปโดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งก่อนหน้านั้นเรือประมงขนาดเล็กอีก 7 ลำ ก็สูญหายไประหว่างเดือนเมษายน 1949 จนถึงเดือนตุลาคม 1953 ระหว่างเกาะมิยาเกะและเกาะอิซุโอชิมะ

ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของสามเหลี่ยมมังกรนั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากแผนที่โลกแล้ว ปรากฏว่าพื้นที่ทั้ง 2 ที่นั้นอยู่ในด้านที่ตรงกันข้ามกันพอดีเลยในซีกโลกอีกข้าง อีกทั้งก็ยังมีร่องน้ำลึกที่สุดในโลกอยู่เช่นเดียวกันทั้ง 2 ที่ (สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา – ร่องลึกเปอร์โตริโก, สามเหลี่ยมมังกร – ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา)

สำหรับนักวิทยาศาสตร์ทื่เชื่อในทฤษฎีของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดากล่าวว่าแท้จริงแล้วเป็นหลุมดำ (Black Hole) ที่อยู่บนโลกนั้น สามเหลี่ยมมังกรก็คือ หลุมขาว (White Hole) ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่ง เมื่อหลุมดำดูดกลืนสสารทุกอย่างลงไปแล้ว ผ่านทางช่องที่อยู่ตรงกลางที่เรียกว่า “รูหนอน” (Worm Hole) สสารก็จะถูกพ่นให้ออกมาทางหลุมขาว ซึ่งอีกฟากหนึ่งนั่นเอง

6. เรื่องหลอนเอนฟิลด์ (Enfield Haunting)

นี่คือเรื่องราวสยองขวัญที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษเมื่อปลายปี 1977 ในบ้านเลขที่ 284 ถนนกรีนสตรีท ย่านเอนฟิลด์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นบ้านของครอบครัวฮอดจ์สัน ที่ประกอบไปด้วย เพกกี แม่ม่ายลูก 4 และลูกๆ ของเธอมาร์กาเรต พี่สาวคนโตอายุ 13 ขวบ, เจเนต ลูกสาวคนที่สองอายุ 11 ขวบ, จอห์นนี่ ลูกชายอายุ 10 ขวบ และบิลลี ลูกชายคนเล็กอายุ 7 ขวบ

เรื่องราวเริ่มต้นในเดือนธันวาคม 1977 จากการที่มาร์กาเรตและเจเนตได้เล่นกระดานวิญญาณ (ผีถ้วยแก้วฝรั่ง) ด้วยกันสองคน และคืนนั้นเองก็มีเสียงเคาะดังข้างนอกประตูห้องนอน เตียงนอนของทั้งคู่ถูกเขย่า และเก้าอี้ในห้องเลื่อนไปมาเองได้โดยไม่ทราบสาเหตุ รวมถึงตู้เสื้อผ้าหรือลิ้นชักถูกรื้อค้น ทีแรกเพกกีคิดว่าเป็นเรื่องเล่นพิเรนทร์ของลูกชายคนเล็ก 2 คนหรือเปล่า แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะทั้งคู่นอนในห้องชั้นบน

ในที่สุดเพกกีได้ตัดสินใจเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ ตำรวจซึ่งเป็นตำรวจท้องถิ่นคู่หูชายหญิงได้เข้าไปตรวจภายในบ้านในยามวิกาล เพราะคิดว่าอาจมีใครแอบซ่อนอยู่ในบ้าน แต่ที่ทั้งคู่พบเจอคือเก้าอี้ในบ้านเคลื่อนไหวเองได้ ทั้งคู่ได้ตรวจสอบดูแล้วไม่พบว่ามีลวดสลิงหรืออะไรก็ตามที่จะใช้บังคับมันได้ แม้ทั้งคู่จะเอาลูกแก้วมาวางไว้บนพื้นเพื่อพิสูจน์ว่าพื้นไม่ได้ลาดเอียง ก็ปรากฏว่าลูกแก้วกลิ้งไปในทิศทางที่ตรงข้ามกับเก้าอี้

เรื่องนี้ดังไปถึงหูสื่อมวลชนทำให้สมาคมวิจัยค้นคว้าทางจิตได้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ ได้แก่ มัวริซ กรอส และนักเขียน กาย ลีออน เพลย์แฟร์ ทั้งคู่ได้ทำการตรวจสอบและสอบสวนตลอดจนสัมภาษณ์สมาชิกในบ้านเป็นระยะเวลานานถึง 2 ปี โดยเดินทางไปมาถึง 120 ครั้ง ได้หลักฐานต่าง ๆ มากมายทั้งเทปบันทึกเสียง, ภาพนิ่ง และภาพวิดีโอ ในภาพนิ่งหลายภาพเป็นภาพของเจเนตที่ดูเหมือนว่าลอยตัวสูงบนเตียงนอน รวมถึงช้อนส้อมที่ถูกบิดงอ ทั้งคู่จึงเชื่อว่าผีที่สิงอยู่ในบ้านหลังนี้มีเจตนาพุ่งตรงไปที่ตัวเจเนต ทั้งคู่จึงได้บันทึกเทปวิดีโอสัมภาษณ์เจเนตและมาร์กาเรต แล้วจู่ ๆ ปรากฏว่าเสียงของเจเนตก็เปลี่ยนไปกลายเป็นเสียงของชายแก่และอ้างว่าตัวเองชื่อ “บิล วิลคินส์” อายุ 72 ปี ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุเลือดออกในสมองด้วยการนั่งตายบนเก้าอี้เก่าตัวหนึ่งที่มุมห้องชั้นล่างของบ้าน ซึ่งในขณะนั้นเก้าอี้ตัวนี้ก็ยังคงอยู่ที่เดิมตลอดมา

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงคุ้นๆ พล็อตเรื่องนี้อย่างแน่นอน เพราะนี่คือเรื่องราวที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง The Conjuring 2 ในปี 2016 อีกทั้งยังเคยถูกสร้างเป็นสารคดีเรื่อง Ghostwatch ของ BBC ในปี 1992 อีกด้วย

7. มอธแมน (Mothman)

สิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีผู้อ้างว่าพบเห็นที่เมืองพอยต์เพลสเซนต์ ในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 12 พฤศจิกายน 1966 ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 1967 โดยมอธแมนนั้นแปลว่า “มนุษย์ผีเสื้อกลางคืน” เนื่องจากผู้ที่อ้างว่าพบเห็น กล่าวว่ารูปร่างคล้ายมนุษย์ที่มีความสูงกว่า 6 ฟุต มีตาสีแดงสว่างไสวในความมืด มีปีกขนาดใหญ่ 2 ปีก มีคอสั้นมาก ศีรษะใหญ่ มอธแมนบินโฉบไปมาในหลายสถานที่บริเวณนั้นเพียง 2-3 วัน แต่จากนั้นมาก็ได้มีผู้ที่อ้างว่าพบเห็นมอธแมนกว่า 100 ราย โดยเฉพาะที่โรงงานผลิตระเบิดทีเอ็นที สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีหลายคนเชื่อว่ามอธแมนอาจเกี่ยวข้องกับจานบินและมนุษย์ต่างดาว รวมถึงมีผู้อ้างว่าพบเห็นชายในชุดดำด้วย เนื่องจากที่พอยต์เพลสเซนต์มีรายงานการพบจานบินอยู่บ่อยครั้งในช่วงเวลานั้น

มอธแมนปรากฏตัวคล้ายจะมาเตือนถึงภัยพิบัติที่จะมาถึงล่วงหน้า คล้ายกับร็อด (Rods) เนื่องจากในตอนเย็นของวันที่ 15 ธันวาคม 1967 สะพานซิลเวอร์ ซึ่งเป็นสะพานเหล็กความยาว 700 ฟุต ที่เชื่อมต่อระหว่างพอยต์เพลสเซนต์ กับรัฐโอไฮโอ พังถล่มลงมาในขณะที่แบกรับการจราจรคับคั่งเอาไว้ ภัยพิบัติดังกล่าวทำให้ มีผู้เสียชีวิต 46 คนและสร้างความเสียหายให้รถจำนานมากที่สัญจรอยู่ ชาวเมืองโทษว่ามอธแมนเป็นตัวการทำให้เกิดเหตุร้ายครั้งนี้

นอกจากที่พอยต์เพลสเซนต์แล้ว ยังมีรายงานการพบเห็นมอธแมนในที่อื่น ๆ อีกทั่วโลก เช่น ก่อนการระเบิดของโรงไฟฟ้าเชียร์โนบีล ในรัสเซีย ในวันที่ 26 เมษายน 1986 ก็มีข่าวทำนองว่า คนงานในโรงไฟฟ้าบอกว่าได้ถูกอะไรบางอย่างที่ลึกลับติดตามมาระยะหนึ่ง บางคนก็ได้รับโทรศัพท์ขู่มาด้วยเสียงแปลกๆ บางคนก็ฝันร้ายติดต่อกันหลายคืน และมีอย่างน้อย 4 คนที่กล่าวว่าได้เห็นผู้ชายรูปร่างใหญ่ มีปีกขนาดใหญ่ติดอยู่ด้านหลัง แต่ไม่มีช่วงคอหรือศีรษะ มีดวงตาสีแดงเหมือนไฟ รวมถึงผู้ที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนั้นก็อ้างว่าเห็นสิ่งบินได้คล้ายนกขนาดใหญ่ถึง 20 ฟุต บินอยู่ในกลุ่มควันหลังเหนือโรงงานหลังเกิดเหตุ

ย้อนกลับไปในอดีตก็มีการพบเหตุการณ์คล้ายๆ กัน เช่นเหตุการณ์เขื่อนขนาดใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีนแตก ในวันที่ 19 มกราคม 1926 มีผู้เสียชีวิตกว่า 15,000 รายและสาบสูญจำนวนมาก ก็มีผู้อ้างว่าพบเห็นมนุษย์มังกร ปรากฏตัวใกล้กับผู้ที่ประสบเหตุ ส่วนเหตุการณ์ล่าสุดที่มีผู้พบเห็นมอธแมนก็คือวันที่ 27 มิถุนายน 2007 ก่อนที่สะพานข้ามแม่น้ำมิสซิสซิปปี I-35W จะถล่มลงมาในอีก 1 เดือนต่อมา โดยมีผู้เสียชีวิต 13 ราย ในชั่วโมงเร่งด่วน

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ

ที่มา : wikipedia | เรียบเรียงโดย เพชมายา