เรื่องราวของหลุมไร้ก้นลึกลับ ที่ผู้คนเชื่อว่ามันเกี่ยวข้องกับพลังจากต่างดาว

เรื่องราวที่ถือเป็นเรื่องลึกลับมานานกว่า 2 ทศวรรษนี้ เริ่มต้นขึ้นในคืนวันหนึ่งในปี ค.ศ. 1997 เมื่อชายคนหนึ่งนามว่า เมล วอเตอร์ส ได้โทรเข้าไปยังรายการวิทยุ Coast to Coast ที่จัดรายการโดย อาร์ต เบลล์ ซึ่งเป็นรายการวิทยุที่พูดคุยเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ตั้งแต่เรื่องผีจนไปถึงเรื่องราวแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เขาได้เล่าประสบการณ์ที่แปลกประหลาดให้กับผู้ฟังคนอื่น ๆ และมันกลายเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้

เมลกล่าวว่า เขาเป็นเจ้าของที่ดินแห่งหนึ่งในย่านชทบทของรัฐวอชิงตัน ซึ่งห่างไปทางตะวันตกของเมืองเอลเลนเบิร์กไปราว ๆ 9 ไมล์ และที่นั่นเอง เขาได้พบสิ่งที่ไม่น่าเชื่อขึ้น

เมลพบหลุมประหลาดอยู่บนที่ดินของเขา และจากการวัดด้วยสายเอ็นตกปลาทำให้เขาทราบว่า หลุมแห่งนี้ลึกลงไปจากพื้นผิวโลกของเราถึง 80,000 ฟุต เป็นอย่างน้อย ซึ่งมันสามารถเป็นหลุมที่ลึกที่สุดบนโลกใบนี้ก็ว่าได้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องลึกลับเรื่องเดียวที่เขาพบ

เพื่อนบ้านของเมลทุกคนรู้จักหลุมแห่งนี้ดี ในความเป็นจริงแล้วพวกเขามักจะทิ้งขยะลงไปในหลุมนี้บ่อย ๆ เนื่องจากมันง่ายต่อการกำจัดทิ้งโดยไม่เหลือร่องรอย แต่เมลรู้ดีว่ามันมีอะไรมากไปกว่าหลุมที่ใช้ทิ้งขยะ เพราะเขาเคยได้ยินข่าวลือว่า มีการพบลำแสงสีดำพุ่งขึ้นจากหลุมตรงขึ้นไปสู่ท้องฟ้า

นอกจากนั้นยังมีเรื่องแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับนายพรานท้องถิ่นคนหนึ่งที่สูญเสียสุนัขสุดที่รักไป และเพื่อเอาชนะความโศกเศร้า เขาตัดสินใจโยนร่างของสุนัขที่ไร้ชีวิตลงไปในหลุมแห่งนี้ แต่นั่นไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบสุนัขของเขาเอง

ไม่กี่วันต่อมา ในขณะที่เขาเดินผ่านบริเวณหลุมลึกลับนี้ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นสุนัขของตัวเองที่มีขนสีเดียวกัน ปลอกคอเหมือนกัน ทุกอย่างเหมือนกัน เขาตกใจอย่างมาก หลุมลึกลับนี้ช่วยชุบชีวิตสุนัขของเขาอย่างนั้นหรือ ?

มาถึงตอนนี้ ผู้ฟังหลายคนก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป บางคนคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ และบางคนคิดว่าเขาต้องการสร้างชื่อเสียงให้กับหลุมลึกลับแห่งนี้บนที่ดินของเขา (ภายหลังมีชื่อว่า Mel’s Hole หรือ หลุมของเมล) เพื่อให้รัฐบาลมาซื้อที่ดินของเขาไป

ถึงแม้คนส่วนใหญ่คิดว่าเมลแต่งเรื่องนี้ขึ้น แต่จริง ๆ แล้วมีพยานหลายคนที่ออกมายืนยันเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ตัวอย่างเช่น เรด เอ็ลค์ ชาวอเมริกันพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นกล่าวว่า ตัวเขาเองรู้จัก ‘หลุมของเมล’ มาตั้งแต่ตอนที่พ่อของเขาแสดงให้ดูเมื่อปี ค.ศ. 1961

“มีคนลงไปที่นั่น” เรดกล่าว “ผู้คนจากต่างดาวที่มาอยู่กับเราที่นี่ ก่อนที่จะมีมนุษย์ พวกเขามาจากดาวที่แห้งแล้งเหมือนทะเลทราย และพวกเขาอาศัยอยู่ใต้พื้นดิน” ดูเหมือนสิ่งที่เขาพูด จะดูคล้ายกับทฤษฎี Hollow Earth หรือโลกกลวง

ตำนาน ‘หลุมของเมล’ กลายเป็นเรื่องลึกลับขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่มีใครที่พิสูจน์ความจริงนี้ได้เลย

ครั้งหนึ่ง เรด เอลค์ เคยนำลูกทีมของเขากว่า 30 ชีวิต เข้าไปยังหลุมของเมล แน่นอนว่าพวกเขาต้องกลับออกมาพร้อมกับความว่างเปล่า ไม่มีใครสามารถลงไปถึงก้นหลุมแห่งนี้ได้

ภาพจากดาวเทียมของรัฐบาลในตอนนั้น (ปี ค.ศ. 1998) แสดงให้เห็นเรื่องน่าแปลกก็คือ มีสี่เหลี่ยมสีขาวขนาดใหญ่บดบังพื้นที่ ๆ หลุมควรจะอยู่

ประจวบเหมาะกับข่าวลืออื่น ๆ เกี่ยวกับหลุมแห่งนี้ แดน เทอร์เนอร์ ชาวบ้านคนหนึ่งบอกเล่าสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับตำนานนี้ว่า “มันมีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตจากโลกอื่นและ UFO”

นั่นยิ่งทำให้เรื่องราวของหลุมลึกลับแห่งนี้กลายเป็นปริศนามากยิ่งขึ้น และในที่สุดนักข่าวจากหนังสือพิมพ์หลายสำนักก็ต้องการทราบความจริงของเรื่องนี้ พวกเขาพยายามติดต่อชายที่ชื่อ เมล วอเตอร์ส แต่ประกฏว่าไม่มีคนชื่อนี้อาศัยหรือเคยอาศัยอยู่ในเมืองเอลเลนเบิร์ก

“มันก็เหมือนจอกศักดิ์สิทธิ์” แดนกล่าวติดตลก “ถ้าคุณพบมัน ผมเดาว่าบางทีมันอาจจะมีหม้อทองคำอยู่ที่ปลายสายรุ้ง หรืออาจมีปีศาจที่ออกมาทำร้ายผู้คนในตอนกลางคืน ผมไม่รู้สิ”

เมื่อมาถึงตอนนี้ มีหลายคนยังคงตั้งคำถามว่า สรุปแล้วหลุมของเมลมันมีอยู่จริงหรือไม่ ? จนกระทั่งในปี 2017 มีกลุ่มนักศึกษาสาขาภาพยนตร์พยายามจะหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้

อีแวน, โครี และ ไทเลอร์ 3 นักศึกษาได้พยายามศึกษาพิกัดของหลุมแห่งนี้จากคำบอกเล่าและพิกัดดาวเทียม พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะพบหลุมของเมลจริง ๆ

แต่แล้วพวกเขาก็ได้พบหลุมประหลาดแห่งหนึ่ง ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็ไม่เห็นก้นหลุมแม้แต่น้อย แต่มันจะเป็นหลุมไร้ก้นที่ลึกถึง 80,000 ฟุตจริง ๆ หรือ ?

จากการทดสอบด้วยเชือกที่มีจนสุดเส้นและกล้อง GoPro เพื่อบันทึกภาพ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเห็นก้นหลุมแห่งนี้ ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกเจ้าของที่ไล่ออกไป

อย่างไรก็ตาม หลุมแห่งนี้ดูก็เหมือนกับตำนานหลุมไร้ก้นของเมลมากที่สุดแล้ว เพียงแต่พวกเขายังไม่เห็นลำแสงสีดำ สุนัขที่ตายแล้ว หรือว่ามนุษย์ต่างดาวเท่านั้นเอง

สำหรับหลุมของเมลก็ยังคงเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานกันต่อไป ไม่แน่ว่าในอนาคตต่อจากนี้ อาจมีใครที่สามารถไขปริศนาลึกลับนี้ให้กระจ่างก็เป็นได้

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ

ที่มา : boredomtherapy | เรียบเรียงโดย เพชรมายา