9 สิ่งที่อาจหายไปในอนาคตอีก 50-100 ปี ต่อจากนี้

ย้อนกลับไปเมื่อ 50-100 ปีก่อน นวนิยายแนววิทยาศาสตร์มักพูดถึงอุปกรณ์สื่อสารที่ทำให้เราพูดคุยกันได้จากที่ห่างไกล ด้วยสัญญาณดาวเทียมจากนอกโลก ในสมัยนั้นอาจฟังดูเป็นเรื่องของเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ในปัจจุบันเรามีทั้งอินเตอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน ที่สามารถติดต่อผู้คนข้ามโลกได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส และถ้าเป็นตัวเราในวันนี้มองโลกต่อไปอีก 50-100 ปีข้างหน้าล่ะ คุณคิดว่าจะมีอะไรที่เปลี่ยนไป หรือหายไปบ้าง

วันนี้เพชรมายาจะพาคุณไปชมการทำนายถึงโลกอนาคตในอีกไม่กี่สิบปีต่อจากนี้ มาดูกันว่าจะมีอะไรบ้างที่จะหายไปจากโลกของเราในอนาคต

1. พลาสติก

ขวดน้ำพลาสติกและถุงขยะอาจคงอยู่บนโลกไปอีกนาน แต่เรามั่นใจว่าจะไม่ต้องใช้มันอีกในอนาคตอันใกล้ เพราะในปัจจุบันมนุษย์เริ่มตระหนักถึงภัยของพลาสติก และพยายามวัสดุทดแทนมากมาย มีถุงขยะที่ทำจากกากข้าวโพดและขวดน้ำที่ย่อยสลายในน้ำได้

ถึงแม้การผลิตสิ่งของเหล่านี้ยังมีราคาแพง แต่ในอนาคตเราจะได้เห็นการพัฒนาด้านเทคโนโลยีชีวภาพมากขึ้นจนสามารถผลิตในปริมาณมากพอเพื่อรองรับการใช้งานอนาคตข้างหน้าได้

2. ปลั๊กและสายไฟ

สายไฟยังคงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีไร้สายเริ่มเข้ามาแทนที่ เราเริ่มใช้หูฟังไร้สาย ลำโพงบลูทูธ รวมถึงปลั๊กเสียบชาร์จมือถือก็กำลังกลายเป็นแท่นเสียบชาร์จแทน รูปลั๊กเสียบต่าง ๆ อาจกลายเป็นเพียงช่องเสียบ USB ที่มีประสิทธิภาพในการจ่ายไฟที่ดีขึ้น ไม่แน่ว่าในอนาคต เราอาจมีเทคโนโลยีการส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าที่ไม่ต้องใช้สายไฟก็เป็นได้

3. ทอง

ทองบนโลกของเราเป็นทรัพยากรที่มีจำนวนจำกัดและมันกำลังจะหมดลงในระยะเวลาไมานานจากนี้ ตามการสำรวจของทางสหรัฐอเมริกา ระบุว่ามีทองเหลือเพียง 50,000 ตันบนโลกใบนี้ที่ยังไม่ถูกขุดขึ้นมา ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว มนุษย์เรามีการขุดทองได้มากถึง 2,500 ถึง 3,000 ตันต่อปี ดังนั้น ด้วยปริมาณขนาดนี้ทำให้เราคาดเดาได้ไม่ยากว่า ทองกำลังจะหมดจากโลกนี้ในอีก 17 ปีข้างหน้า และเราไม่อาจบอกได้เลยว่า ราคาทอง ณ ตอนนั้นจะไปในทิศทางไหน

4. ร้านค้า

ในปัจจุบันเราคงเห็นร้านค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมีการลงทุนไม่สูง และลูกค้าสามารถเข้าถึงได้ง่ายไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ร้านค้าเล็ก ๆ จะไม่ลงทุนทำหน้าร้านของตัวเองเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูง ส่วนร้านค้าใหญ่ก็ต้องต่อสู้กับค่าเช่าที่ และอาจมีเพียงร้านค้าของแบรนด์ดังที่อยู่รอดได้

ส่วนร้านค้าที่มีหน้าร้าน ก็จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการใหม่หมด ตัวอย่างเช่น Amazon Go ได้เริ่มต้นทำร้านค้าที่ไม่มีแคชเชียร์หรือพนักงานคิดเงินแล้ว โดยใช้การหักเงินในบัญชีของลูกค้าแทนเมื่อออกจากร้าน

สำหรับลูกค้าที่อยากสัมผัสสินค้าก่อนซื้อ อาจมีพื้นที่สำหรับช้อปปิ้งเพื่อให้เราได้ลองหรือทดสอบสินค้าได้เช่นรองเท้าหรือเสื้อผ้า เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเริ่มนำมาใช้งานมากขึ้น เพื่อที่จะจดจำสิ่งที่ลูกค้าต้องการและแนะนำรายการสินค้าเมื่อเข้าสู่พื้นที่ เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องใช้งานคนอีกต่อไปตั้งแต่เข้ามาในร้านค้าจนกระทั่งจ่ายเงินและออกจากร้านค้าไป

5. การจราจรติดขัด

มันฟังดูน่าเหลือเชื่อ เพราะในขณะที่รถยนต์มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้นจะช่วยให้การเดินทางของมนุษย์เราเปลี่ยนไป

ข้อแรกคือขนส่งสาธารณะที่จะเริ่มครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ ในเมืองใหญ่ได้มากขึ้นทำให้ผู้คนใช้รถส่วนตัวน้อยลง ต่อมาคือรถยนต์ในอนาคตจะขับเคลื่อนเองด้วยระบบ AI ที่สามารถตัดสินใจแทนเราได้ทุกอย่าง และมันจะช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้

สุดท้ายคือระบบการควบคุมไฟจราจรในอนาคตจะสามารถคิดคำนวณการเปิดปิดไฟเขียวไฟแดงได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น เมื่อทุกอย่างทั้งคนขับและสัญญาณจราจรถูกคิดคำนวณด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ก็จะหมดปัญหาเรื่องรถติดเหมือนเดิมอีกต่อไป

6. ยาปฏิชีวนะ

ยาปฏิชีวนะถูกคิดค้นเพื่อให้เราใช้งานซ้ำ ๆ ผลที่ได้ทำให้แบคทีเรียบางประเภทเกิดอาการดื้อยา และเราก็ยังป่วยแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมา แต่ในอนาคตต่อจากนี้เราจะได้เรียนรู้การใช้แบคทีเรียที่สามารถสร้างยาปฏิชีวนะเพื่อต่อต้านภัยร้ายที่เกิดในตัวเราได้ ซึ่งเมื่อเราฉีดแอนติบอดีดังกล่าวเข้าไปในตัวผู้ป่วย ก็จะหยุดยั้งการติดเชื้อที่เกิดในระบบเซลล์ได้

7. ฟอสฟอรัส

ในปัจจุบั ฟอสฟอรัส เป็นส่วนสำคัญอย่างมากในการผลิตปุ๋ยเพื่อการเกษตร ถ้าฟอสฟอรัสหายไป ผลผลิตทางการเกษตรทั่วโลกจะลดลงอย่างมหาศาล ในตอนนี้เราใช้งานฟอสฟอรัสมากถึง 5 เท่าจากที่เราเคยใช้เมื่อ 50 ปีก่อน จำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ปริมาณความต้องการแร่ชนิดนี้มีมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง นักวิทยาศาสตร์คาดว่า ประมาณ 80 ปีต่อจากนี้ หินฟอสเฟตจะหมดไปจากโลก แต่ถ้าประชากรของโลกยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มันจะหมดลงในอีก 20-40 ปีเท่านั้น ข่าวดีของเราคือนักวิทยาศาสตร์ต่างหาทางที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวอยู่ในขณะนี้

8. ฟาร์ม

ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยข้าว ข้าวโพดและดอกทานตะวันอาจหายไปตลอดกาล การเติบโตของเมืองที่เริ่มขยายตัวมากขึ้น กินพื้นที่ของไร่นาและสวนจนมันลดลงอย่างรวดเร็ว ราคาที่ดินที่สูงไม่มีหยุด ทำให้ตอนนี้คนเริ่มปรับตัวกันมากขึ้นโดยการทำฟาร์มแบบแนวตั้งขึ้นมาแทน เราเริ่มเห็นเรือนกระจกทรงสูงมากขึ้น ซึ่งต่อไปเราคงต้องมองพืชสวนของเราโดยการเงยหน้าขึ้นไปแทน

9. ความเป็นส่วนตัว

หลายคนอาจได้ดูซีรีย์ Black Mirror มาบ้างแล้วในตอนที่บอกเล่าถึงการให้คะแนนทางสังคม แน่นอนว่าหลายคนคิดว่ามันอาจเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในอนาคตอันใกล้นี้

ในปัจจุบันเราแทบไม่มีพื้นที่ส่วนตัวจากการรับรู้ผ่านโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเปิดเผยมันเอง หรือคนอื่นที่สามารถรู้จักตัวตนคุณมากขึ้นผ่านการค้นหาด้วย Google และในอนาคตหากมีองค์กรไหนสักองค์กรต้องการติดตามตัวคุณตลอด 24 ชั่วโมง มันอาจทำได้อย่างไม่ยากเย็นผ่านกล้องวงจรปิดตามสถานที่ต่าง ๆ หรือฐานข้อมูลที่คุณเคยลงไว้บนโลกออนไลน์ ซึ่งยังเป็นเทคโนโลยีในอีกหลายสิบปีข้างหน้า ที่เราคาดไม่ถึง

ที่มา : brightside | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ