นอกจากภาษาที่เราใช้พูดคุยสื่อสารกันในชีวิตประจำวันแล้ว บรรดาสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ป้ายจราจร, สัญลักษณ์สัญญาณ Wi-fi, สัญลักษณ์จากป้ายห้ามต่างๆ เหล่านี้ ก็ถือเป็นสิ่งที่ทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายๆ มากขึ้น โดยไม่ต้องสื่อสารผ่านข้อความตัวอักษร และถึงแม้เราจะเข้าใจสัญลักษณ์เหล่านี้ แต่บางทีเราก็ไม่เคยรู้ที่มาและความหมายที่แท้จริงของมันมาก่อน ซึ่งวันนี้เพชรมายาจะขอพาทุกท่านมาเรียนรู้และเข้าใจความหมายที่แท้จริงของสัญลักษณ์เหล่านี้ให้มากขึ้นกัน
1. เครื่องหมาย & (The Ampersand)
สัญลักษณ์ที่เราทุกคนรู้กันดีในชื่อเครื่องหมาย แอนด์ (&) ซึ่งมันมาจากภาษาลาติน ‘et’ ที่แปลว่า ‘และ’ โดยคำย่อนี้ถูกคิดค้นครั้งแรกโดย มาร์คัส ทุลลิอุส ทิโร เลขาส่วนตัวของ ซิเซโร นักคิดนักเขียนชาวโรมัน ตั้งแต่สมัยโรมันโบราณ และเพื่อความรวดเร็วในการจดบันทึก เขาจึงได้คิดค้นระบบ ‘ตัวย่อ’ ขึ้นมา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า “ทิโรเนียน โน๊ต” (Tironian Notes)
หลายร้อยศตวรรษต่อมา ตัวย่อต่างๆ กลายเป็นที่นิยมในยุโรปและอเมริกา และถูกรวมเข้าไปอยู่ในตัวอักษรภาษาอังกฤษ ถึงแม้ช่วงต้นศตวรรษที่ 10 มันจะถูกมองข้ามไปบ้าง และจริงๆ เครื่องหมาย The Ampersand มาจากวลีคำว่า “And per se and” ที่แปลว่า “และ แทนตัวมันเองว่า และ” ที่คุณครูให้เด็กๆ ท่องในห้องเรียนหลังจากท่อง A-Z และเมื่อกาลเวลาผ่านไป ตัวอักษร ET ถูกหลอมรวมกันจนกลายเป็นสัญลักษณ์ & อย่างที่เราใช้กันในปัจจุบันนี้
2. สัญลักษณ์รูป ‘หัวใจ’
แม้ว่าในปัจจุบัน สัญลักษณ์รูปหัวใจจะสื่อถึง ‘ความรักข้างในหัวใจ’ ที่มีรูปร่างเหมือนกับหัวใจจริงๆ ของมนุษย์ แต่จริงๆ แล้ว มีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายต้นกำเนิดของสัญลักษณ์หัวใจนี้
ทฤษฎีแรกมาจากหงส์ 2 ตัวที่ติดพันกัน และว่ายเข้ามาหากันกลางทะเลสาบ จนมีรูปทรงออกมาเป็นรูปหัวใจ ในหลายๆ วัฒนธรรมของโลก หงส์ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แทนความรัก ความซื่อสัตย์ และความจงรักภักดี เนื่องจากหงส์เป็นสัตว์ที่จะอยู่ด้วยกันคู่เดียว ตลอดชีวิตของมัน
ทฤษฎีต่อมาพูดถึงสัญลักษณ์หัวใจว่าเป็นตัวแทนของสรีระผู้หญิง โดยรูปหัวใจคือสัญลักษณ์แทนกระดูกเชิงกรานของผู้หญิง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า ชาวกรีกโบราณมักจะมีนัยสำคัญเป็นพิเศษกับสรีสระของผู้หญิงในส่วนนี้ และเกี่ยวโยงไปถึงการสร้างวิหารพิเศษให้กับเทพอโฟรไดท์ ซึ่งเป็นวิหารแห่งเดียวที่มีการบูชาก้น
ทฤษฎีสุดท้ายเชื่อว่า สัญลัญษณ์หัวใจมาจากรูปร่างของใบไม้เลื้อยในแจกัน ซึ่งโดยปกติแล้ว ชาวกรีกมักจะใส่เถาไม้เลื้อยเหล่านี้ในภาพวาดของไดโอนีซุส เทพแห่งการทำไวน์และพระคุณของความรัก
3. สัญลักษณ์บลูทูธ
ในช่วงศตวรรษที่ 10 เดนมาร์กถูกปกครองโดยกษัตริย์ ฮาราลด์ บลาทานด์ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ จากการที่รวมชนเผ่าชาวเดนนิชไว้ในอาณาจักรเดียว ฮาราลด์ ถูกเรียกบ่อยครั้งว่า ‘บลูทูธ’ (Bluetooth) มาจากที่เขาเป็นคนที่คลั่งไคล้บลูเบอร์รี และมีฟันซี่หนึ่งที่เป็นสีน้ำเงิน
ส่วนเทคโนโลยีบูลทูธ ถูกออกแบบมาสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ให้มาอยู่ในเครือข่ายเดียว สัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของเทคโนโลยีนี้ มาจากการรวมกันของพยัญชนะสแกนดิเนเวีย 2 ตัว คือ ‘Hagall หรือ Hagalaz” ซึ่งเป็นตัวอักษร H ในภาษาลาติน และตัวอักษร ‘Bajarkan’ คือตัวอักษร B ในภาษาลาติน โดยตัวอักษรทั้ง 2 มาจากชื่อของ ฮาราลด์ บลาทานด์ (Harald Blåtand) นั่นรวมไปถึงสีน้ำเงินและสัญลักษณ์การรวมกันของ HB ที่ดูคล้ายกับฟันอีกด้วย
4. สัญลักษณ์การแพทย์
หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า สัญลักษณ์ทางการแพทย์ที่เป็นรูปไม้เท้ามีปีก และงู 2 ตัวพันกันนี้ เกิดจากการนำมาใช้โดยความผิดพลาด อ้างอิงจากตำนาน เทพกรีกนามว่าเฮอร์มีส ผู้ครอบครองไม้เท้าเวทมนตร์แคดดูเซียส ที่มีอำนาจให้การหยุดข้อพิพาท แถมยังช่วยให้ศัตรูคืนดีกันได้ โดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการรักษา
แต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน แพทย์ในกองทัพอเมริกันจำสับสนระหว่างไม้เท้าแคดดูเซียส กับไม้เท้าของแอสคลิพลิอัส เทพแห่งการรักษา (ไม้เท้าของทั้งคู่คล้ายกัน แต่ของแอสคลิพลิอัสไม่มีปีกและมีงูตัวเดียว) และได้นำมาใช้อย่างผิดๆ จนกระทั่งมันฝังรากลึก ซึ่งทุกคนจำสัญลักษณ์นี้เป็นสัญลักษณ์ทางการแพทย์ไปเสียแล้ว
5. สัญลักษณ์ Power On บนปุ่มเปิด
คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เพราะมันอยู่บนหน้าจอทีวี คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ แต่หลายคนคงไม่เคยสงสัยว่า สัญลักษณ์นี้มีต้นกำเนิดมาจากไหนกันแน่
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1940 บรรดาวิศวกรได้ใช้ระบบเลขฐานสองแทนสัญลักษณ์ของการเปิดปิด โดย 1 หมายถึง ‘เปิด’ และ 0 หมายถึง ‘ปิด’ จนกระทั่งในอีกหลายทศวรรษต่อมา มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ วงกลม (0) และเส้นแนวตั้ง (1) รวมกันนั่นเอง
6. สัญลักษณ์สันติภาพ
สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ หรือหลายๆ คนรู้จักมันในชื่อ ‘แปซิฟิก’ ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1958 ในระหว่างการประท้วงต่อต้านการใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยมาจากตัวอักษร N และ D ที่มาจาก Nuclear Disarmament ที่แปลว่า การลดอาวุธนิวเคลียร์
ในการให้สัญญาณตัวอักษรแบบ Semaphore Alphabet (ใช้ธงให้สัญญาณ) อักษร N จะเป็นการถือธงเป็นรูปตัว V กลับหัว และ อักษร D จะใช้มือหนึ่งถือธงชี้ขึ้นฟ้าและอีกมือจะแนบลำตัว เมื่อนำสัญลักษณ์ทั้ง 2 มารวมกัน ถึงได้เป็นสัญลักษณืแห่งสันติภาพอย่างที่เห็น
7. สัญลักษณ์ โอเค (OK)
ผู้คนส่วนมากทั่วโลก ใช้สัญลักษณ์มือนี้เพื่อสื่อถึงกับว่า ‘โอเค’ หรือ ‘ตกลง’ ซึ่งมีหลากหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายต้นกำเนิดของสัญลักษณ์นี้
บางคนเชื่อว่า สัญลักษณ์ OK เริ่มถูกใช้มาในสมัยการเลือกของสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1840 โดยคำว่า OK ย่อมาจาก Old Kinderhook ซึ่งเป็นชื่อเล่นของ มาร์ติน แวน บูเรน ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 8 โดยคำว่า คินเดอร์ฮุค ก็คือชื่อบ้านเกิดของเขาเอง แถมคำนี้ยังถูกใช้เป็นสโลแกนหาเสียงว่า “Old Kinderhook is O. K.” พร้อมกับมีโปสเตอร์เป็นภาพคนทำสัญลักษณ์นิ้ว OK อีกด้วย
ทฤษฎีที่คล้ายกันเชื่อว่ามาจาก แอนดรูว์ แจ็คสัน ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 7 ที่ชอบทำท่าสัญลักษณ์ OK นี้ หลังจากที่เขาตัดสินใจอะไรเสร็จเรียบร้อย แถมเขายังชอบเรียนคำว่า “All correct” ในแบบเยอรมันว่า “Oll korrect” หรือย่อแบบสั้นๆ ว่า OK นั่นเอง
ยังมีอีกทฤษฎีที่เชื่อว่า สัญลักษณ์ OK มาจาก “มูดรา” ซึ่งเป็นท่าในพิธีกรรมของศาสนาพุทธและฮินดู ซึ่งมันเป็นสัญลักษณ์ของการเรียนรู้ และในงานจิตรกรรมหรือรูปปั้นของศาสนาพุทธมากมาย ก็แสดงให้เห็นถึงท่าทาง OK นี้ด้วย
ชื่นชอบเรื่องราวน่าสนใจ กดติดตามได้ที่นี่ แต่ถ้ามีติ๊กถูก แสดงกว่ากดแล้วจ้า
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ
ที่มา : brightside | เรียบเรียงโดย เพชรมายา