เลือดหมูและเลือดวัว ถือเป็นสิ่งที่ชาวไทยเราคุ้นเคยและนำมาใช้ประกอบอาหารมาเป็นเวลานาน แต่สำหรับในต่างประเทศส่วนใหญ่อาจไม่คุ้นเคยกับวัตถุดิบแบบนี้ ยกเว้นแต่ที่รัสเซียที่มีลักษณะการนำเลือดวัวมาเป็นส่วนประกอบของอาหารเช่นกัน
ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19 ฮีมาโตเจน (Hematogen) คือผลิตภัณฑ์ที่ถูกคิดค้นมาเพื่อรักษาโรคโลหิตจางโดยมีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในตอนนั้นมันมีส่วนผสมของเลือดวัวและไข่แดง ซึ่งไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ในตอนนั้น
ต่อมาในปี 1920 สหภาพโซเวียตได้เริ่มต้นปรับปรุงรสชาติของฮีมาโตเจนให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น และนำไปใช้ในกองทัพเพื่อเป็นอาหารเสริมให้กับทหาร จนกลายเป็นเหมือนกับขนมที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงนั้น
ส่วนผสมของฮีมาโตเจนประกอบด้วย Albumin Black Food อย่างน้อย 5% หรืออธิบายง่าย ๆ มันก็คือศัพท์เทคนิคของเลือดวัว
นอกจากนั้นก็จะมีส่วนผสมอื่น ๆ ได้แก่ น้ำข้นจืด น้ำตาล น้ำเชื่อมกลูโกส และวานิลลา ที่ผสมเข้าด้วยกัน จากนั้นปล่อยให้ส่วนผสมเย็นลง เนื่องจากการใส่เลือดวัวลงไปตอนยังร้อนจะทำให้เลือดวัวจับตัวเป็นก้อน จากนั้นนำไปใส่ในแท่นพิมพ์เพื่อทำให้เป็นเหมือนขนมอัดแท่ง ซึ่งกระบวนการผลิตนี้ใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมง
ประโยชน์ของฮีมาโตเจนก็คือ มันอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่สามารถช่วยรักษาภาวะโลหิตจากในเด็กเล็กและสตรีมีครรภ์ได้ ตลอดจนช่วยให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
และเนื่องจากฮีมาโตเจนมีปริมาณธาตุเหล็กที่สูงมาก มันจึงทิ้งรสชาติคล้ายกับโลหะที่ค้างอยู่ในปากของคุณ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาตราบใดที่รสชาติโดยรวมยังทำให้คุณอร่อยได้อยู่ ซึ่งผู้คนจำนวนไม่น้อยไม่เคยรู้เลยว่ามันเป็นขนมอัดแท่งที่มีส่วนผสมของเลือดวัวด้วย
ในขณะที่คนส่วนใหญ่ในโซเวียตต่างทราบดีว่าในแท่งฮีมาโตเจนมีเลือดวัว แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับมัน ซึ่งปัญหาจริง ๆ ของฮีมาโตเจนในปัจจุบันก็คือปริมาณน้ำตาลที่สูงมาก จนกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดี และแพทย์แนะนำว่าให้รับประทานเนื้อแดงแทนจะมีประโยชน์มากกว่า
ถึงแม้ว่าฮีมาโตเจนจะได้รับความนิยมสูงสุดในยุคโซเวียต แต่เราก็ยังหาทานได้ในทุกวันนี้ แต่มันอาจมีรสชาติที่แตกต่างจากต้นฉบับในอดีต เนื่องจากผู้ผลิตในปัจจุบันเลือกที่จะใช้เลือดผงแทนเลือดจริง
ที่มา : odditycentral | เรียบเรียงโดย เพชรมายา