อาการทางจิตลึกลับเหล่านี้ ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริงบนโลก

ถึงแม้วิทยาศาสตร์การแพทย์ของมนุษย์ยุคปัจจุบันจะเจริญไปมาก จนทำให้เราทราบพฤติกรรมหลายๆ อย่าง เกิดจากภาวะทางจิตที่ไม่ปกติ แต่ก็ยังอาการทางจิตอยู่หลายอย่างที่ยังคงลึกลับ ดูแปลก และน่ากลัวจนชวนขนหัวลุก ซึ่งวันนี้เพชรมายาจะขอพาทุกท่านมาชมอาการทางจิตเหล่านี้กัน

1. กาซึโมโด ซินโดรม (Quasimodo Syndrome)

หรือโรคคิดว่าตนเองมีรูปร่างหรืออวัยวะผิดปกติ ถือเป็นอาการทางจิตที่อันตรายมาก ที่สามารถครอบงำความคิดของคุณให้เห็นข้อบกพร่องทางร่างกายตนเองจนเกินจริง หรือแม้แต่จินตนาการไปเอง ผู้ป่วยโรคนี้จะพยายามจับผิดตัวเองอยู่ตลอดเวลาหน้ากระจก จนไม่ชอบการถ่ายภาพ เป็นคนชอบดูถูกตัวเอง และสงสัยว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นข้อบกพร่องและหัวเราะเยอะพวกเขาอยู่ตลอดเวลา

2. อีโรโทมาเนีย (Erotomania)

นี่คือโรคจิตเภทแห่งการมโนอย่างแท้จริง เพราะผู้ป่วยจะเชื่อโดยสนิทใจว่ามีคนแอบหลงรักพวกเขาอยู่ แถมคนที่มาหลงรักพวกเขายังเป็นคนดังในสังคม ไม่ว่าจะเป็นดาราเซเลปไฮโซ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามหาวิธีตอบแทนความรักด้วยการเข้าหาคนดังเหล่านั้นด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ส่งจดหมาย โทรศัพท์ไปหา เอาของไปให้ และถึงแม้ว่าคนดังเหล่านั้นจะ “ปฏิเสธ” ว่าไม่ได้รัก พวกเขาก็จะคิดไปเองว่า นี่คือการปิดบัง “ความลับ” ของพวกเขาไม่ให้คนอื่นรู้

3. คะกราส์ เดลูชัน (Capgras Delusion)

เป็นความผิดปกติที่ผู้ป่วยเชื่อว่า พ่อแม่ คนรัก เพื่อน หรือคนใกล้ตัว มีตัวปลอมที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน ซึ่งโรคนี้ถูกตั้งชื่อว่า โจเซ็ฟ คะกราส์ จิตแพทย์ชาวฝรั่งเศส ที่กล่าวถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่บ่นว่า มีคนตัวปลอมได้เข้ามาแทนที่สามีของเธอและคนอื่น ๆ ที่เธอรู้จัก จนคะกราส์ได้เรียกอาการนี้ว่า “อาการหลอนเห็นตัวปลอม”

4. เฟรโกลี เดลูชัน (Fregoli Delusion)

เป็นความหลงผิดว่า บุคคลแปลกหน้ารอบตัวพวกเขา จริงๆ แล้ว เป็นบุคคลที่พวกเขารู้จักปลอมตัวมา ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้าและเปลี่ยนรูปลักษณ์มาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์บางอย่าง โดยบุคคนแรกที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นโรคนี้ เกิดขึ้นในปี 1927 เมื่อเด็กหญิงคนหนึ่งเชื่อว่า เธอถูกไล่ตามโดยนักแสดง 2 คนจากโรงละครที่เธอเคยไปชม

5. อเดล ซินโดรม (Adele Syndrome)

สำหรับใครที่คิดว่าความรักไม่ใช่อาการป่วย อาจจะต้องคิดใหม่ เพราะโรคนี้คืออาการหลงผิด ที่ทำให้คุณตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความรักแบบถอนตัวไม่ขึ้น ซึ่งแตกต่างจากความรู้สึกหลงใหลในความรักแบบปกติ นอกจากนี้ ผู้ป่วยจะมีอาการแทรกซ้อนเช่น โรคนอนไม่หลับ ภาวะซึมเศร้า หลอกตัวเอง สูญเสียความมั่นใจ ส่วนการรักษาค่อนข้างยาก เพราะผู้ป่วยมักไม่ยอมรับ และปฏิเสธว่าความรักของพวกเขาไม่ใช่อาการป่วยแต่อย่างใด

6. คริปโตมนีเซีย (Cryptomnesia)

โรคนี้จะทำให้คุณระลึกได้ถึงความทรงจำที่ซ่อนเร้น และคิดว่าความทรงจำนั้นเป็นสิ่งใหม่ที่เพิ่งเคยเกิดขึ้น อย่างเช่น คุณคิดบทภาพยนตร์ใหม่เอี่ยมที่ไม่ซ้ำใครขึ้นมาได้ และไปเล่าให้เพื่อนคุณฟัง แต่เพื่อนคุณกลับบอกว่า เรื่องนี้เราเพิ่งไปดูกันเมื่อเดือนที่แล้วไง สรุปว่ามันเป็นปัญหาเกี่ยวกับหน่วยความจำที่ทำให้คุณลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว และแยกไม่ออกระหว่างความฝันกับความจริงอีกด้วย

7. โรคอลิซในแดนมหัศจรรย์ (Alice in Wonderland Syndrome)

ฟังดูเหมือนจะแฟนตาซีดี แต่ความทุกข์ทรมานของโรคนี้คือการที่ผู้ป่วยไม่สามารถรับรู้ขนาดและระย่างห่างของสิ่งรอบตัวได้ พวกเขาจะมีปัญหาในการรับรู้ว่าขนาด เล็ก ใหญ่ ใกล้ ไกล และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือ การรับรู้ร่างกายของตัวเองที่ไม่ถูกต้อง พวกเขาไม่สามารถเข้าใจรูปร่างและขนาดของร่างกายได้ สายตาของผู้ป่วยเหล่านี้ยังคงปกติดี แต่มันเกิดจากสภาพจิตใจของโรคนี้เท่านั้น

8. โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-compulsive Disorder)

ผู้ป่วยโรคนี้จะต้องเผชิญกับความกังวลข้างในจิตใจ และไม่สามารถขจัดความคิดเหล่านั้นออกไปจากหัวได้ มันเหมือนเป็นการบังคับให้พวกเขาต้องทำ ทำ และทำในแบบไร้เหตุผล และถ้าหากไม่ทำพวกเขาก็จะเกิดความวิตกกังวล จนสุดท้ายพวกเขาก็ต้องทำในสิ่งนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมา

9. พาราฟรีเนีย (Paraphrenia)

เป็นโรคจิตแบบหวาดระแวงชนิดหนึ่ง ซึ่งมีอาการประสาทหลอนเกิดขึ้นอย่างเด่นชัด และเป็นการรวมกันของโรคหวาดระแวงและหลงผิดคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ บางคนเชื่อว่าตัวเองคือผู้ปกครองโลก เป็นอมตะ เป็นต้นกำเนิดของพระเจ้า หรืออาจเขียนออกมาเป็นหนังสือที่อ้างว่า พวกเขาทำงานให้กับผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น พวกนี้มักจะทำตัวหยิ่งและดูลึกลับ

10. โรคหลายบุคลิก (Dissociative Identity Disorder)

เป็นรูปแบบความผิดปกติทางจิตที่หาได้ยากที่จะแบ่งให้คนๆ เดียวมีหลายบุกลิคภาพอยู่ภายในตัวเอง ซึ่งพวกเขาอาจมีบุคลิกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น เพศ เชื้อชาติ อายุ อารมณ์ ทัศนคติ หรือแม้แต่อาการป่วย ซึ่งบุคคลที่เป็นโรคนี้ที่โดดเด่นที่สุดคือ บิลลี มิลลิแกน ผู้ต้องหาคดีข่มขืนในยุค 70 ที่ถูกพบว่า เขามี 24 บุคลิกอยู่ในตัวคนเดียว ซึ่งหลายๆ คนอาจเคยได้ชมเรื่องราวของโรคนี้ในภาพยนตร์เรื่อง Split

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ

ที่มา : brightside | เรียบเรียงโดย เพชรมายา