เชื่อว่าตอนที่เราเป็นเด็กคงเคยโดนคำถาม “โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร” และคำตอบที่ได้ในสมัยก่อนก็คือ หมอ พยาบาล ทหาร ตำรวจ หรือนักบินอวกาศ แต่ถ้าเป็นยุคคปัจจุบัน คุณอาจได้ยินเด็ก ๆ ที่อยากเป็น ดารา นักร้อง หรือแม้แต่ยูทูปเบอร์มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่จะมีเด็กสักกี่คนที่มีความฝันเหมือนอย่างหนูน้อยคนนี้
นี่คือ โธมัส สปริงก์ หนูน้อยวัย 10 ขวบจากมิชิแกนคือหนึ่งในเด็กไม่กี่คนที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นช่างสัก ช่างแต่งหน้าเทคนิคพิเศษ รวมถึงการเป็นนักแสดง
โธมัสมีชื่อเล่นว่าบับบา เป็นลูกคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 5 คน พ่อของเด็กน้อยเป็นนักดนตรีและเป็นอดีตมือกลองวงเมทัล ส่วนคุณแม่มีอาชีพเป็นช่างภาพแนวแฟนตาซี จึงไม่น่าแปลกใจที่หนูน้อยคนนี้จะมีเลือดศิลปินอยู่เต็มเปี่ยม
โธมัสมักพกปากกากับกระดาษติดตัวอยู่เสมอมาตั้งแต่เขาอายุได้ 2-3 ขวบ เขาหลงใหลในการวาดรูปและระบายสีอย่างมาก
เริ่มแรก เด็กน้อยพยายามวาดรูปใบหน้าและรูปสัตว์แบบง่าย ๆ จากนั้นก็เริ่มพัฒนาการวาดในรูปแบบอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากนั้น หนูน้อยยังซึมซับรสนิยมการเสพดนตรีแนวเมทัลมาจากคุณพ่อ แน่นอนว่าตัวคุณพ่อเองก็มีรอยสักอยู่เต็มร่างกาย
โธมัสเริ่มจากการวาดรูปกระโหลกและหัวใจ จากนั้นก็เปลี่ยนมาวาดรูปตัวละครอย่าง เพนนีไวส์และโจ๊กเกอร์ รวมถึงตัวละครอื่น ๆ จาก DC และ Marvel
สิ่งที่โธมัสชอบมากก็คือการเพนท์หน้าเพื่อเปลี่ยนตัวเองเป็นตัวละครต่าง ๆ บ่อยครั้งที่เด็กชายแต่งตัวเป็นโจ๊กเกอร์และใช้การแต่งหน้าแบบเทคนิคพิเศษเข้าช่วย
นอกเหนือจากการเพนท์หน้า สิ่งที่โธมัสชอบมากก็คือ “รอยสัก” เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาและคนอื่นมีความสุขไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งเขามักได้แรงบันดาลใจมาจาก ภาพยนตร์ หนังสือ และดนตรีที่เขาฟัง
ด้วยความหลงใหลในการสัก ทำให้โธมัสตั้งใจฝึกฝนการวาดรูปทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาตื่นนอน ตอนรอรถโรงเรียน หรือแม้แต่ในห้องเรียน ซึ่งคุณครูประจำชั้นของเขาก็สนับสนุนความชอบของเด็กน้อยอย่างเต็มที่
คุณแม่ของโธมัสเคยพูดคุยกับคุณครูในการประชุมผู้ปกครอง โดยเธอบอกว่า บางครั้งโธมัสก็จะวาดรูปบนโต๊ะของเขาด้วยดินสอ เธอปล่อยให้เขาทำตราบใดที่เขาลบมันออกเมื่อจบวัน
นับตั้งแต่นั้นเธอก็เห็นพัฒนาการด้านสมาธิของโธมัสที่ดีขึ้น รวมถึงผลการเรียนที่ดีขึ้นอีกด้วย บางครั้งนักเรียนคนอื่นก็ขอให้เขาวาดรูปบนร่างกายให้ และบางครั้งเขาก็มาขอวาดรูปบนตัวแม่อีกด้วย
เรื่องราวของโธมัสทำให้เราได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นความชื่นชอบของเด็ก ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งนั่นจะส่งผลให้ตัวเด็กมีความสุข และถ้าคุณเป็นพ่อแม่ที่ต้องการเห็นลูกมีความสุข สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการเปิดใจรับฟังความชอบของพวกเขา และมันย่อมดีกว่าการบังคับฝืนใจให้เขาไปทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองอย่างแน่นอน
ที่มา : instagram | boredpanda | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ