โลกของเราเติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ และนั่นทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น บางสิ่งทำให้เราได้ตระหนักว่า บางทีอนาคตมนุษยชาติอาจถูกทำลายด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นกับโลกเราไม่ว่าจะมาจากในโลกหรือนอกโลกก็ตาม
หรือจะเป็นความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีที่อาจย้อนมาทำร้ายมนุษย์เองก็เป็นได้ วันนี้เพชรมายาจึงขอพาทุกท่านมาชมหายนะวันสิ้นโลกในรูปแบบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ส่วนจะมีอะไรบ้าง ลองไปชมกัน
1. โรคระบาดล้างโลก
หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ในอดีตที่ผ่านมาได้มีโรคระบาดครั้งใหญ่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง อย่างเช่นการระบาดครั้งใหญ่ของกาฬโรค ที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 75-100 ล้านคน หรือจะเป็นไข้ทรพิษ ไข้หวัดสเปน หรือโรคระบาดยุคใหม่อย่างเช่น เอดส์ อีโบล่า ไข้หวัดนก ซาร์ส เมอร์ส ซึ่งรุนแรงและบางโรคเองก็ยังไม่ทราบที่มาที่ไปของไวรัสร้ายแรงเหล่านี้ได้ แถมโรคระบาดร้ายแรงส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีวิธีรักษาได้
ส่วนผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับโรคระบาดว่า โรคระบาดครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในทุกๆ รอบร้อยปี สภาวะโลกร้อนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคระบาดตามมา ซึ่งในอนาคตเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเจอกับสถานการณ์โรคระบาดใหม่ๆ และเมื่อไหร่ก็ตามถ้าเราเจอไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่รุนแรงกว่าที่ผ่านมา ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้เกิดความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่กว่าโรคระบาดครั้งไหนๆ
2. ดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก
ถือเป็นคำทำนายยอดนิยมเกี่ยวกับวันสิ้นโลกด้วยอุกกาบาตขนาดยักษ์ ซึ่งหนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าสนใจที่สุดคือเรื่องราวของดาวเคราะห์น้อย 99942 Apophis ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 360 เมตร มีโอกาสพุ่งชนโลกมากในอนาคต จากการค้นพบครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2004 ดาวเคราะห์น้อย Apophis มีโอกาสพุ่งชนโลกถึง 2.7% ในวันที่ 13 เมษายน 2029 ก่อนที่จะถูกคำนวนช่วงเวลาการชนใหม่ โอกาสที่จะชนโลกเรามากที่สุดจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายนปี 2036 หรือไม่ก็อาจเป็นวันที่ 12 เมษายน 2068
และหากมันพุ่งชนโลกขึ้นมาล่ะก็ แรงระเบิดของมันจะรุนแรงมากถึง 750 เมกะตัน เมื่อเทียบกับระเบิดไฮโดรเจร Tsar Bomba ที่รุนแรงที่สุดในโลกยังมีแรงระเบิดแค่ 57 เมกะตันเท่านั้น (Tsar Bomba รุนแรงกว่าระเบิด Little Boy และ Fatman ที่ถล่มฮิโรชิมาและนางาซากิรวมกันถึง 1,400 เท่า) หากมันตกลงบนมหาสมุทรแอตแลนติกหรือแปซิฟิกก็จะสร้างคลื่นสึนามิที่ไปได้ไกลหลายพันกิโลเมตร แต่หากมันตกลงบนแผ่นดิน จะทำให้มีผู้คนกว่า 10 ล้านคนต้องบาดเจ็บล้มตายจากเหตุการณ์ครั้งนี้
3. หุ่นยนต์ครองโลก
ถึงแม้หุ่นยนต์จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานหรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นทาสให้กับมนุษย์ แต่จากการพัฒนาปัญหาประดิษฐ์หรือ AI ให้กับหุ่นยนต์มีความก้าวหน้ามากขึ้นทุกวัน เราจึงไม่อาจวางใจได้ว่าหุ่นยนต์จะเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ให้กับมนุษย์เสมอไป ยกตัวอย่างเช่นเมื่อ 20 ปีก่อน เรายังไม่รู้จักสมาร์ทโฟนด้วยซ้ำไป แต่ในปัจจุบันนี้สมาร์ทโฟนเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกเราได้แทบทุกอย่าง
ฮันส์ โมราเวก ศาสตราจารย์จากสถาบันหุ่นยนต์ ของมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน ในเมืองพิตต์สเบิร์ก กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ระบบการควบคุมหุ่นยนต์มีการประมวลผลที่ซับซ้อนมากขึ้นเป็น 2 เท่าในทุกๆ 1-2 ปี แต่ตอนนี้ความซับซ้อนของมันยังอยู่แค่ระดับสัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำเท่านั้น แต่ภายในปี 2050 ความสามารถของหุ่นยนต์จะทัดเทียมกับมนุษย์ ที่รู้จักคิดและแสดงความเห็นได้”
เรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก เพราะถ้าคิดๆ ดูแล้วมันก็เหมือนระเบิดเวลาที่เมื่อไหร่ก็ตาม เมื่อมนุษย์คิดค้นเทคโนโลยีสุดยอดขึ้นมาได้ล่ะก็ มันอาจกลายเป็นสิ่งอันตรายที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงผู้คิดค้นมันเองก็เป็นได้
4. การมาเยือนของมนุษย์ต่างดาว
คุณเชื่อหรือไม่ว่ามนุษย์เราเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่มีสติปัญญาในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตนี้ แน่นอนว่าคำตอบของคนส่วนใหญ่หรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ ก็ยังมีความเชื่อลึกๆ ว่า คงจะมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาที่ไหนสักแห่งในจักรวาลอันไกลโพ้น และนั่นจึงเป็นที่มาของโครงการต่างๆ ที่พยายามสืบเสาะค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาวด้วยวิธีต่างๆ
และหนึ่งในโครงการค้นหามนุษย์ต่างดาวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในปี 2015 เมื่อ ยูริ มิลเนอร์ นักลงทุนชาวรัสเซีย จับมือกับสตีเฟน ฮอว์กิง นักจักรวาลวิทยาชื่อดัง โดยเขาใช้ทุนกว่า 3 พันล้านบาท กับระยะเวลา 10 ปี ในการใช้กล้องโทรทรรศน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ค้นหาสัญญาณคลื่นวิทยุและเลเซอร์ ซึ่งโครงการนี้จะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าโครงการก่อนหน้าหลายสิบเท่า
แต่การแอบค้นหาสัญญาณอยู่แบบนี้จะทำให้เราได้เจอมนุษย์ต่างดาวจริงหรือ ? ทาง ดร. เสธ โชสทัค ผู้อำนวยการสถาบัน SETI กล่าวว่า ถึงเวลาที่จะต้องเพิ่มความพยายามในการค้นคว้าให้มากขึ้น ทางสถาบันไม่ได้เพียงแต่คอยฟังเสียงหรือสัญญาณจากนอกโลกเท่านั้น แต่พยายามหาทางส่งสัญญาณไปให้กับดาวฤกษ์ที่โคจรอยู่ใกล้ๆ โลกด้วย เพราะเป็นไปได้ว่า “ถ้าเราปลุกให้ใครตื่นขึ้นมาได้ เราก็จะได้รับเสียงตอบรับจากพวกเขา”
แน่นอนว่ามีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วย เพราะหากมีใครก็ตามที่ได้ยินสัญญาณของเราและสามารถมาเยือนโลกเรา ทั้งๆ ที่พวกเขาอยู่ไกลโพ้นได้อย่างง่ายดาย นั่นหมายความว่าเทคโนโลยีของพวกเขาจะสูงมากจนเราเทียบไม่ติด และคงไม่ต้องนึกถึงผลลัพธ์ที่ตามมา เพราะเราสามารถเรียนรู้ได้จากประวัติศาสตร์ของมนุษย์ได้เองว่า เวลาที่นักสำรวจและนักล่าอาณานิคมไปเจอกับแผ่นดินแห่งใหม่ จะเกิดอะไรกับชะตากรรมของผู้อยู่ก่อนหน้าบ้าง
5. ภัยธรรมชาติครั้งใหญ่
มีภัยธรรมชาติมากมายบนโลกเราใบนี้ ที่ถ้าหากเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็อาจทำให้มนุษย์เราต้องเจอกับหายนะครั้งใหญ่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาวะโลกร้อน การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก แผ่นดินไหว พายุเฮอร์ริเคน หรืออาจเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงที่สุดในโลกอย่างการระเบิดของ Supervalcano ที่อาจทำให้มนุษยชาติสูญพันธุ์ไปเลย ซึ่งเจ้าซุปเปอร์ภูเขาไฟที่มีโอกาสระเบิดมากที่สุดก็คือที่อุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตนนั่นเอง
ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ Supervolcano จะสะสมพลังไปเรื่อยๆ นับแสนปี ส่วนเต็งหนึ่งอย่างเยลโล่สโตนเองก็เคยระเบิดมาแล้วถึง 3 ครั้ง โดยมีระยะเวลาการสะสมพลังแต่ละครั้งนาน 6-7 แสนปี และช่วงเวลาการระเบิดครั้งถัดไปถือว่าเลยกำหนดมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องถามว่ามันจะเกิดขึ้นหรือเปล่า เพราะมันจะเกิดขึ้นอีกแน่นอน แต่คำถามคือมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และจะส่งผลกระทบอะไรต่อมนุษย์เราบ้าง
ความรุนแรงจากการระเบิดของ Supervolcano ในเยลโล่สโตน จะมีพลังงานเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ 1000 ลูกที่ฮิโรชิม่าในทุกๆ 1 วินาที ประเทศอเมริกาจะได้รับความเสียหายกว่าครึ่ง ควันที่พวยพุ่งออกมาจากการระเบิดจะปกคลุมโลกได้ทั้งใบ และนั่นจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฤดูหนาวนิวเคลียร์” ยาวนานต่อไปเป็น 10 ปี
แสงอาทิตย์จะไม่สามารถส่องผ่านก๊าซจำพวกซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้ อุณหภูมิโลกจะลดลงอย่างรวดเร็ว สิ่งมีชีวิตมากมายจะสูญพันธุ์ไปจากโลก รวมถึงมนุษย์เองที่ต้องปรับตัวให้อยู่รอดต่อไปให้ได้เมื่อเวลานั้นมาถึง
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ
เรียบเรียงโดย เพชรมายา