7 สัญญาณที่บอกได้ว่า เด็กคนนี้อาจเป็นโรคจิตในอนาคต

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า พฤติกรรมของเด็กที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคจิตในอนาคต สามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่อายุ 3 ปีเป็นต้นไป การกระทำของพ่อแม่ในบางครั้งก็เป็นตัวผลักดันให้เด็กแสดงอาการเหล่านี้ ซึ่งปัญหาก็คือ พ่อแม่มักจะคิดว่าสัญญาณเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลสักเท่าไหร่ วันนี้เพชรมายาจึงขอพาทุกท่านมาเรียนรู้สัญญาณที่อาจบ่งบอกได้ว่า เด็กคนไหนที่มีแนวโน้มจะเป็นคนโรคจิตได้ในอนาคต ซึ่งฆาตกรต่อเนื่องส่วนใหญ่มักจะมีพฤติกรรมเหล่านี้แฝงอยู่ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กอีกด้วย

1. ทารุณกรรมสัตว์

การทารุณกรรมสัตว์ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของโรคจิตเภทในเด็ก ถ้าคุณอธิบายให้เด็กเข้าใจได้ว่า การดึงหางแมวหรือการกระชากสายจูงสุนัขเป็นสิ่งที่ไม่สมควรและห้ามทำอีกในอนาคต คุณอาจไม่ต้องกังวลอะไร แต่ถ้าเด็กได้ทำร้ายสัตว์หรือแม้แต่ฆ่าพวกมันโดยที่ไม่มีใครว่ากล่าวล่ะก็ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาพัฒนาพฤติกรรมก้าวร้าวนี้ต่อไปในอนาคต

สำหรับพฤติกรรมของฆาตกรต่อเนื่องมักจะระบายความโกรธของตนกับสัตว์ที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ และพวกเขามักจะฆ่าเหยื่อด้วยวิธีเดียวกันหรือคล้ายกันกับที่พวกเขาทำกับสัตว์ จากภาพด้านบน นี่คือ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ หนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องที่มีชื่อเสียงอย่างมากในสหรัฐอเมริกา ที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต 15 รอบ ลองสังเกตวิธีที่เขาถือลูกแมวให้ดี

2. ชอบเผาสิ่งของ

ไพโรมาเนีย (Pyromania) คืออาการของคนที่ชอบจุดไฟเผาสิ่งต่างๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา พวกเขาทำเพราะอยากทำ ทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ หรือเพื่อแสดงอาการโกรธและการต่อต้าน นี่เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่า เด็กคนนี้อาจโตขึ้นเป็นโรคจิตได้ในอนาคต

3. ฉี่รดที่นอน

แน่นอนว่าไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่ฉี่รดที่นอน อย่างไรก็ตาม โรคฉี่รดที่นอนนี้ถูกพบว่าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมอื่นๆ เช่น การทารุณกรรมสัตว์ การเผาสิ่งของ และอื่นๆ อีกมากมาย เนื่องจากนี่เป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับเด็ก ส่งผลให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจ โกรธ หากพ่อแม่ไม่เข้าใจเด็กว่ามันเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ ดุด่าว่ากล่าว หรือเกิดถูกเพื่อนๆ ล้อ เด็กเหล่านี้ก็สามารถหันเข้าสู่ด้านมืดได้เช่นกัน

อังเดร ชิคาติโล คือฆาตกรต่อเนื่องที่สังหารผู้หญิงและเด็กไปอย่างน้อย 52 คนในสหภาพโซเวียต เขาเป็นโรคฉี่รดที่นอน และแม่ของเขาก็ทุบตีเขาทุกครั้งที่เขาฉี่รดที่นอน ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินกับการเฝ้าดูเด็กๆ ที่กำลังถูกทรมาน

4. ชอบละเมิดกฏระเบียบ

เชื่อว่ามีเพื่อนๆ หลายคนที่มีประสบการณ์การแหกกฏระเบียบมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก ในขณะที่เด็กส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าการละเมิดกฏเป็นสิ่งที่ผิด แต่อาจทำเพราะเหตุผลบางอย่าง แต่สำหรับเด็กที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคจิต พวกเขามองเกี่ยวการละเมิดกฏต่างออกไปมาก เพราะมันกลายเป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขและได้รับความตื่นเต้น

หากคุณจำเรื่องราวใน Harry Potter ตอนหนึ่งได้ เกี่ยวกับวัยเด็กของโวลเดอมอร์ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์พบของเล่นที่ถูกขโมยมาในลิ้นชักของเขา ของเล่นเป็นของเด็กคนอื่นๆ โวลเดอมอร์ไม่ได้ต้องการของเล่นเหล่านี้ เพียงแต่เขาแค่สนุกกับการมองดูคนอื่นที่สูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไป

5. โกหกโดยไม่มีความสำนึกผิด

ถ้าเด็กคนหนึ่งจะโกหก ก็เพราะเขากลัวว่าจะถูกลงโทษ ซึ่งคุณสามารถเข้าใจเหตุผลได้ว่าทำไมพวกเขาถึงไม่บอกความจริง อย่างไรก็ตาม ถ้าเด็กคนหนึ่งโกหกเพื่อแค่ต้องการโหก ด้วยสีหน้าที่แสดงออกด้วยความมั่นใจโดยไม่ได้มีความสำนึกผิดใดๆ ล่ะก็ นี่คือสัญญาณที่พ่อแม่ต้องกังวลอย่างยิ่ง เพราะอาจมีบางอย่างที่ผิดปกติกับเด็กคนนี้

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเด็กเหล่านี้ถูกจับผิดได้ พวกเขาจะแสดงอาการโกรธหรือตีโพยตีพาย ซึ่งอารมณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความผิดที่เขากำลังปกปิดถูกค้นพบ แต่มันเกิดจากคำโกหกของพวกเขาที่ถูกจับได้นั่นเอง

6. ชอบรังแกคนอื่น

แน่นอนว่า ไม่ใช่คนชอบรังแกคนอื่นทุกคนจะเป็นคนโรคจิตในอนาคต ผู้ที่ชอบรังแกคนอื่น เกิดมาจากสาเหตุปัจจัยมากมาย เช่น พวกเขาอาจต้องการเรียกร้องความสนใจ ต้องการดูมีพาวเวอร์ ต้องการทำเหมือนกับพ่อแม่ที่ชอบใช้ความรุนแรง หรือทำตามผู้ที่มีอิทธิพลต่อตัวพวกเขาเอง ส่วนเด็กที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคจิตชอบรังแกคนอื่น เพราะลึกๆ แล้วพวกเขารู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นคนอื่นเจ็บปวด

7. ไร้ความรู้สึก

เด็กๆ ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคจิต จะไม่แสดงให้คนอื่นเห็นง่ายๆ ว่าพวกเขากลัวอะไร และพวกเขาจะไม่รู้สึกถึงความเครียดใดๆ เหมือนกับเด็กรุ่นเดียวกัน รวมถึงไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นด้วย

อ้างอิงจาก ศาสตราจารย์ ฮีเธอร์ เออร์วิน นักจิตวิทยาอาวุโสจากคลินิก R.E.A.D. ระบุว่า ชีวิตขวบปีแรกของเด็กเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เหมือนเป็นการตัดสินอนาคตสุขภาพทางจิตของเด็กก็ว่าได้ โดยเขากล่าวว่า

“โรคจิต ไม่ได้ปรากฏออกมาให้เห็นทันที คุณต้องลองดูในช่วงขวบปีแรกของเด็กๆ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาบ้าง ตัวอย่างเช่น ถ้าเด็กร้องไห้ในช่วง 6 เดือนแรก และไม่มีใครดูแล ไม่มีใครคอยป้อนนมตอนหิว ไม่มีใครคอยช่วย สมองของเด็กก็จะจดจำและตระหนักได้ว่า ความรู้สึกไม่ใช่สิ่งสำคัญ โครงสร้างของสมองอื่นๆ จะเริ่มก่อตัวขึ้นโดยมีพื้นฐานมาจากความคิดแบบนี้”

นอกจากนั้นยังมีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจบางอย่างเช่น ถาเด็กเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดี แต่หลังจาก 5 ขวบ พวกเขาต้องเจอกับความรุนแรงในชีวิต โอกาสที่เด็กจะกลายเป็นโรคจิตจะต่ำกว่ามาก เนื่องจากจิตสำนึกที่ดีของพวกเขามีเวลาก่อตัวขึ้นเพียงพอแล้ว นั่นหมายความว่า พ่อแม่เป็นผู้ที่ต้องแบกรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่แค่การดูแลทางด้านร่างกาย แต่รวมไปถึงจิตใจของเด็กๆ อีกด้วย และหากพบว่าเด็กๆ มีความเบี่ยงเบนไปนอกลู่นอกทาง ก็อย่ากลัวที่จะต้องไปพบจิตแพทย์เด็ก เพื่อจะได้ทำการแก้ไขได้ทันท่วงที

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ

ที่มา : brightside | เรียบเรียงโดย เพชรมายา