เมื่อสมองของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ถูกขโมยไปศึกษาวิจัยว่าทำไมเขาถึงเป็นอัจฉริยะ

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เสียชีวิต สมองของเขาถูกขโมยออกไปจากร่างกายโดยนักพยาธิวิทยาที่เป็นแพทย์ชันสูตรร่างของเขา และถูกนำไปเก็บไว้ในขวดสองใบเป็นเวลาถึง 30 ปี

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เป็นนักฟิสิกส์ที่ฉลาดระดับอัจฉริยะและมีชื่อเสียงที่สุดในโลก ด้วยเหตุนี้สมองของเขาจึงเป็นที่ต้องการแม้ในยามที่เขาไม่มีชีวิตแล้วก็ตาม

สมองที่ถูกขโมยกับความหวังที่จะก้าวหน้าในอาชีพของ โทมัส ฮาร์วีย์

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 1879 ในเมืองอูล์ม ประเทศเยอรมัน เขาได้ทิ้งมรดกล้ำค่าที่ไม่สามารถจับต้องได้เอาไว้ จากการเป็นเพื่อนกับชาลี แชปลิน และการหลบหนีจากทหารเยอรมัน ไปจนถึงนิยามใหม่ของการศึกษาฟิสิกส์

ไอน์สไตน์เป็นที่เคารพนับถือจากผู้คนทั่วโลกจากความเป็นอัจฉริยะของเขา มีหลายคนในชุมชนวิทยาศาสตร์ตั้งทฤษฎีว่าสมองของเขาอาจแตกต่างจากสมองของคนทั่วไป และนั่นทำให้ โธมัส ฮาร์วีย์ แพทย์ที่ทำการชันสูตรร่างของเขาได้ตัดสินใจขโมยสมองของไอน์สไตน์โดยไม่ลังเล

แคโรลีน อับราฮัม ผู้เขียนหนังสือ Possessing Genius: The Bizarre Odyssey of Einstein’s Brain กล่าวว่า “ฮาร์วีย์มีความหวังในเส้นทางอาชีพที่ยิ่งใหญ่ เขาคิดว่าสมองนั้นจะช่วยส่งเสริมเส้นทางอาชีพด้านการแพทย์ของเขาได้”

ฮาร์วีย์ไม่เพียงแต่ขโมยสมองเท่านั้น แต่เขายังนำดวงตาของไอน์สไตน์ไปด้วย โดยมอบให้กับจักษุแพทย์ประจำตัวของไอน์สไตน์

ร่างของไอน์สไตน์ถูกทำพิธีเผาในเมืองเทรนตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ในวันที่ 20 เมษายน แม้ว่าฮานส์ ไอน์สไตน์ ลูกชายจะโกรธมากเมื่อรู้ว่าฮาร์วีย์แอบนำสมองของพ่อเขาไป แต่สุดท้ายเขาก็อนุญาตให้นำสมองไปวิจัยโดยมีเงื่อนไขว่าเพื่อเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์และตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือได้เท่านั้น

ฮาร์วีย์ทำการบันทึกและถ่ายภาพสมองอย่างพิถีพิถัน เขาชั่งน้ำหนักสมองได้ 1,250 กรัมซึ่งถือว่าเบากว่าค่าเฉลี่ยของผู้ชายในวัย 76 ปี จากนั้นเขาหั่นสมองออกเป็น 240 ส่วนแล้วถ่ายภาพเก็บเอาไว้

ฮาร์วีย์ยืนยันว่าเป้าหมายของเขาในการทำเช่นนี้เพื่อวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ เขาขับรถข้ามประเทศเพื่อมอบชิ้นส่วนสมองเหล่านี้ให้กับนักวิจัยที่อยากรู้อยากเห็น แม้แต่กองทัพสหรัฐก็ยังได้รับตัวอย่างสมองจากฮาร์วีย์ พวกเขารู้สึกว่าการที่มีสมองนี้จะทำให้พวกเขาทัดเทียมกับรัสเซีย

ความหมกมุ่นของฮาร์วีย์ที่มีต่อสมองของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาต้องเสียงานที่โรงพยาบาล Princeton เท่านั้น แต่เขาต้องเสียใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหมอและชีวิตแต่งงานของเขาอีกด้วย

ฮาร์วีย์ย้ายไปอยู่ที่เมืองวิชิตา รัฐแคนซัส โดยเก็บสมองไว้ในกล่องเครื่องดื่มไซเดอร์ใต้ตู้แช่เบียร์ จากนั้น เขาได้เผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยสมองของไอน์สไตน์ฉบับแรกออกมาในปี 1985 แต่ก็ถูกโต้แย้งจากนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก

สมองของไอน์สไตน์แตกต่างจากสมองคนทั่วไปจริงหรือ

ผลการศึกษาครั้งแรกของสมองไอน์สไตน์ที่ถูกขโมยไปถูกตีพิมพ์ใน Experimental Neurology ในปี 1985 เปิดเผยว่า สมองของไอน์สไตน์แตกต่างจากสมองทั่วไปจริง

มีรายงานว่าสมองของไอน์สไตน์มีอัตราส่วนของเซลล์เกลีย (Glia Cell) สูงกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งทำให้เซลล์ประสาทในสมองได้รับออกซิเจนและทำงานได้ดี

ต่อมาผลวิจัยของมหาวิทยาลัยอลาบามาที่เบอร์มิงแฮมในปี 1996 ยืนยันว่าเซลล์ประสาทเหล่านี้หนาแน่นกว่าปกติและอาจส่งผลให้ทำการประมวลผลข้อมูลได้เร็วขึ้น

สามปีต่อมา ผลการศึกษาครั้งที่สามจากภาพถ่ายของฮาร์วีย์ระบุว่า สมองกลีบข้างของไอน์สไตน์กว้างกว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้เขามีกระบวนการคิดเป็นภาพมากกว่าคนทั่วไป

และเมื่อไม่นานมานี้ในปี ผลการศึกษาในปี 2012 อ้างว่าสมองของไอน์สไตน์มีรอยนูนที่สมองกลีบหน้าตรงกลาง ซึ่งเป็นบริเวณที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและความจำ

แต่ก็มีหลายคนที่โต้แย้งผลการศึกษานี้ เช่น ศาสตราจารย์เทอเรนซ์ ไฮน์ส นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเพซ ที่ออกมายืนยันอย่างหนักแน่นว่า สมองมนุษย์ทุกคนมีลักษณะพิเศษเฉพาะ จึงไม่สามารถสรุปข้อมูลเหล่านี้ได้จากการศึกษาลักษณะพิเศษจากสมองของอัจฉริยะเพียงแค่คนเดียว

ในท้ายที่สุด การถกเถียงเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของสมองของไอน์สไตน์นั้นไม่น่าจะสิ้นสุดในเร็ว ๆ นี้ แม้ว่าสมองส่วนที่เหลือของเขาจะถูกส่งไปที่โรงพยาบาล Princeton แล้วก็ตาม ส่วนภาพสไลด์อื่น ๆ ของสมองได้บริจาคให้กับสถาบันทางการแพทย์หลายแห่ง

ก่อนที่โธมัส ฮาร์วีย์จะเสียชีวิตในปี 2007 เขาได้บริจาคสมองส่วนที่เหลือของไอน์สไตน์ให้กับพิพิธภัณฑ์สุขภาพและการแพทย์แห่งชาติ ซึ่งไม่นานมานี้พิพิธภัณฑ์มุทเทอร์ในฟิลาเดลเฟียได้นำบางส่วนของสมองมาจัดโชว์ในห้องแสดงผลงานอีกด้วย

ที่มา : allthatsinteresting | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ