สิ่งที่เราทราบกันดีก็คือ มนุษย์เราไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกในปี 1969 จากทีมของ นีล อาร์มสตรอง และ บัซ อัลดริน ด้วยการเดินทางผ่านภารกิจ อะพอลโล 11 และหลังจากนั้นมนุษย์เราได้มีการเดินทางไปยังดวงจันทร์หลายต่อหลายครั้ง แต่สิ่งที่เรายังไม่ทราบก็คือมนุษย์อวกาศได้ทิ้งสิ่งของเอาไว้บนดวงจันทร์มากมาย ตั้งแต่ยานอวกาศ รถสำรวจดวงจันทร์ อุปกรณ์ต่าง ๆ บนยาน กล้องวีดีโอ กล้องโทรทรรศน์เคลือบทองคำ รวมไปถึงของเสียจากร่างกายนักบินอวกาศ ลูกกอล์ฟ และสิ่งที่โด่งดังที่สุดก็คือ ภาพถ่ายของครอบครัว ชาลส์ ดุค
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 20 เมษายน 1972 ชาลส์ ดุค นักบินอวกาศจากภารกิจ อะพอลโล 16 ได้มีโอกาสเดินทางไปเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรก ในขณะนั้นเอง เขามีอายุ 36 ปี ซึ่งถือเป็นมนุษย์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้มีโอกาสไปเดินบนพื้นผิวดวงจันทร์
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์การขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ แต่เป็นเพราะเขาได้ทิ้งภาพถ่ายครอบครัวของตัวเองที่ประกอบไปด้วยภรรยาและลูกชายทั้ง 2 คนเอาไว้ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่หนึ่งในภารกิจของนาซ่า
ข้างหลังภาพถ่ายถูกเขียนเอาไว้ว่า “นี่เป็นภาพถ่ายครอบครัวของนักบินอวกาศ ชาลส์ ดุค จากดาวโลก ที่ลงมาเหยียบบนดวงจันทร์เมื่อวันที่ 20 เมษายน 1972”
“ผมวางแผนที่จะทิ้งมันบนดวงจันทร์มาตลอด” ดุคกล่าว “เมื่อผมทิ้งมัน มันก็เป็นแค่การแสดงให้ลูก ๆ ดูว่า ผมได้ทิ้งมันลงบนดวงจันทร์จริง ๆ”
หลังจากที่ดุคได้ถ่ายภาพผลงานของตัวเองเอาไว้ ภาพ ๆ นี้ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก และมันกลายเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของ “การสำรวจอวกาศของมนุษย์”
ในช่วงที่ดุคได้รับการฝึกฝนให้เป็นนักบินอวกาศในภารกิจอะพอลโล เขาต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในฟลอริดา แต่ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในฮูสตัน นั่นจึงทำให้เด็ก ๆ แทบไม่ได้เจอพ่อเลยในช่วงเวลานั้น
“เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ตื่นเต้นกับสิ่งที่พ่อของเขาได้ทำลงไป ผมจึงถามลูกว่า ลูก ๆ อยากจะไปดวงจันทร์กับพ่อหรือเปล่าล่ะ ? เราสามารถถ่ายภาพครอบครัว และเราทั้งหมดก็สามารถไปดวงจันทร์ได้นะ” ดุคเล่าถึงความหลัง
มากกว่า 48 ปีแล้วที่ดุคลงไปเหยียบบนดวงจันทร์ และรอยเท้าที่เขาทำเอาไว้จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สำหรับภาพถ่าย แน่นอนว่ามันจะไม่ได้ถูกพัดไปไหนเพราะดวงจันทร์ไมมีชั้นบรรยากาศ แต่สิ่งที่อาจทำให้ภาพนี้จางหายไปอาจเป็นเรื่องอื่น
“อุณหภูมิบนดวงจันทร์จะสูงขึ้นไปถึง 204 องศาเซลเซียสในทุก ๆ เดือน บริเวณพื้นที่ ๆ เราลงจอด และในตอนกลางคืนอุณหภูมิจะลดลงจนเกือบถึงศูนย์สมบูรณ์” ดุคกล่าว
“ห่อพลาสติกไม่ได้ทนทานพอสำหรับอุณหภูมิแบบนั้น มันยังมีสภาพดีตอนที่ผมทิ้งมัน แต่ผมไม่เคยกลับไปดูมันอีกเลยและผมคิดว่าภาพถ่ายอาจจางหายไปแล้วตอนนี้”
น่าเสียดายที่เราเองก็ไม่อาจทราบได้ว่าภาพถ่ายของดุคมีสภาพเป็นอย่างไร เนื่องจากมันมีขนาดเล็กเกินกว่าที่ดาวเทียมดวงจันทร์จะหาพบ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ภาพนี้มีความสำคัญอย่างมากสำหรับครอบครัวของดุค ไม่ว่าสุดท้ายภาพถ่ายจะกลายเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเขาได้พาครอบครัวของตนเองไปท่องเที่ยวบนดวงจันทร์เป็นที่เรียบร้อย
ที่มา : businessinsider | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ