มนุษย์เราใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของชีวิตไปกับการนอนหลับ และการนอนหลับของเราจะฝันอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าคุณจะจำไม่ได้ว่าฝันก็ตาม แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือเราเข้าใจความฝันมากน้อยแค่ไหน และความฝันเกิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์อะไร
วันนี้เพชรมายาได้รวบรวม 10 ข้อเท็จจริงที่จะช่วยให้คุณเข้าใจความฝันได้ดียิ่งขึ้นมาฝากกันครับ
1. ฝันร้ายปกป้องเราในชีวิตจริง
ทุกคนคงเคยฝันร้ายกันมาบ้าง ถึงจะฟังดูน่ากลัว แต่ฝันร้ายก็มีด้านดีเหมือนกัน นักวิจัยอ้างว่าความรู้สึกหวาดกลัวในความฝันจะช่วยให้คุณรับมือกับความกลัวได้ดีขึ้นในชีวิตจริง
ฝันร้ายช่วยเพิ่มความสามารถของสมองในการตอบสนองต่ออันตรายในชีวิตจริง อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณฝันถึงสิ่งน่ากลัวและกระทบกระเทือนจิตใจเป็นเวลานาน อาจจะกลายเป็นผลเสียแทนเมื่อคุณตื่นนอน
2. กล้ามเนื้อส่วนใหญ่ของคุณจะเป็นอัมพาตระหว่างการนอนหลับช่วง REM Sleep
การนอนหลับช่วง REM Sleep หรือช่วงหลับฝัน เป็นระยะของการนอนหลับที่มีความฝันเกิดขึ้น การนอนหลับช่วงนี้ดวงตาจะเคลื่อนไหวไปมา แต่กล้ามเนื้อจะอยู่ในสถานะอัมพาต จากการศึกษาพบว่าเซลล์พิเศษในสมองที่เรียกว่า เซลล์ประสาทสั่งการ (Metor Neuron) จะช่วยป้องกันกล้ามเนื้อไม่ให้เคลื่อนไหวขณะนอนหลับ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้
3. ความฝันช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหา
หลายคนมีการพัฒนาและการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ในความฝัน ไม่ว่าจะเป็นไอเดียด้านวิทยาศาสตร์ ศิลปะ ดนตรี นวนิยาย หรือภาพยนตร์ เป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นขณะที่เรานอนหลับ
เมื่อเราฝัน สมองยังคงทำงานต่อเนื่อง และอยู่ในสภาวะทางสรีรวิทยาที่แตกต่างออกไป การบริหารสมองจะทำงานสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้สมองของเราสามารถแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์
4. คนเราลืมความฝันถึง 95%
หลายครั้งที่เราตื่นขึ้นมาแต่กลับจำความฝันไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงการจำความฝันเก่า ๆ เมื่อหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือนก่อน จริง ๆ แล้วคนเราลืมความฝันได้มากถึง 95% เพราะการเปลี่ยนแปลงในสมองที่เกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับจะไม่ประมวลผลข้อมูลที่ใช้สำหรับเก็บความทรงจำ
เมื่อสแกนสมองของคนที่นอนหลับจะเห็นได้ว่าสมองส่วนหน้าที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างความจำ ไม่ได้ถูกใช้งานในระหว่างนอนหลับช่วง REM Sleep ซึ่งเป็นช่วงที่ความฝันเกิดขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่เราจำความฝันไม่ได้หลังจากตื่นนอน
5. ไม่ใช่ว่าทุกคนจะฝันและเห็นเป็นภาพสี
อาจจะฟังดูแปลก แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะฝันเป็นภาพสี ย้อนกลับไปเมื่อทศวรรษที่ 1940 ผลการศึกษาได้ระบุว่า คนส่วนมากจะฝันเป็นภาพขาวดำ เพราะในสมัยนั้นโทรทัศน์จอสียังไม่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา ผู้คนดูแต่จอขาวดำ
เพื่อสนับสนุนทฤษฎีนี้ จึงทำการศึกษาคน 2 กลุ่มที่มีประสบการณ์การรับสื่อที่แตกต่างกัน ผลปรากฏว่าผู้ที่ดูจอขาวดำจะมีความฝันสีเทามากกว่าผู้ที่ดูโทรทัศน์จอสี
6. คนตาบอดก็ฝันได้นะ
คนที่ตาบอดตั้งแต่เกิดสามารถมีประสบการณ์มองเห็นในความฝันได้ เนื่องจากมีคลื่นไฟฟ้าในสมองเหมือนคนสายตาปกติ ถึงแม้จะรู้สึกถึงภาพในความฝัน แต่พวกเขาไม่สามารถบรรยายความรู้สึกนั้นออกมาได้ เพราะพวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์การมองเห็นมาก่อนในชีวิต
ส่วนคนที่ตาบอดหลังจากที่เกิดมานั้นสามารถมองเห็นภาพต่าง ๆ ในความฝันได้ เพราะพวกเขาเคยเห็นมาก่อน ซึ่งความฝันเกิดขึ้นจากความทรงจำ
7. ในความฝัน คุณอาจอ่านหนังสือไม่ออก
เวลาเราอ่าน สมองซีกขวาจะถูกกระตุ้นมากที่สุด ซึ่งเป็นซีกสมองที่ไม่สามารถเข้าถึงได้เวลาเราฝัน ในความเป็นจริง เมื่อเราฝัน พื้นที่ทั้งหมดของสมองที่รับผิดชอบด้านภาษา การอ่าน การเขียน การพูด จะกระตือรือร้นน้อยลง
แต่กฎข้อนี้ก็มีข้อยกเว้น บางคนสามารถอ่านในฝันได้ โดยจะเกิดขึ้นกับคนจำนวนน้อยเท่านั้น ซึ่งเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับภาษาและการเขียนมากที่สุด เช่น นักเขียน และนักกวี
8. เราฝันถึงใบหน้าที่เราเคยเห็นในชีวิตจริงเท่านั้น
คุณสามารถฝันถึงใบหน้าของคนที่คุณเคยเห็นในอดีตได้เท่านั้น ไม่ว่าคุณจะจำเขาได้หรือไม่ก็ตาม ความฝันมาจากประสบการณ์ในชีวิตจริง ดังนั้นใบหน้าที่คุณเห็นในความฝันเป็นผลจากการตีความประสบการณ์จริงที่มีอยู่ของคุณ
9. ฝันกลางวันคือปรากฏการณ์ที่แท้จริง
เราทุกคนเคยมีช่วงเวลาที่ปล่อยจิตใจและจินตนาการของตัวเองล่องลอยไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสมองจะตื่นตัวและได้ทำงานในรูปแบบที่ต่างออกไป สำหรับบางคนอาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้ความคิดในหัวก่อตัวขึ้นอย่างสดใหม่และเหนือความคาดหมายได้
10. คุณสามารถควบคุมความฝันของคุณได้
ในสภาวะความฝันแบบรู้ตัว (Lucid Dream) คุณจะรับรู้ได้ว่าคุณกำลังฝันและสามารถควบคุมความฝันได้ ความฝันประเภทนี้จะเชื่อมโยงกับสภาวะการรับรู้ของคนที่ฝันอยู่นั้น ๆ ผู้ที่เคยฝันแบบนี้จะอ้างว่าพวกเขารู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่และสามารถมีส่วนร่วมกับความฝันได้ด้วย
ที่มา : brightside.me | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ