12 เรื่องลึกลับทางประวัติศาสตร์ ที่ถูกไขปริศนาได้แล้ว

ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ผ่านมา มีเรื่องลึกลับที่เรายังไม่เข้าใจอีกมากมาย แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่เราไม่เคยรู้เลยว่า ปริศนาลึกลับเหล่านั้นถูกไขได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และวันนี้เพชรมายาจะขอนำมาฝากทุกท่านให้ได้ชมกัน

 

1. การหายไปของอารยธรรมนัซกา

 

ชาวนัซกากลายเป็นที่รู้จักของชาวโลกเนื่องจากผลงานลานเส้นนัซกาขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่บนพื้นผิวของทะเลทรายนัซกา ประเทศเปรู มีทฤษฎีมากมายที่เกี่ยวกับลายเส้นนัซกา บ้างก็ว่าพวกเขาต้องการสื่อสารกับอารยธรรมที่สูงส่งจากนอกโลก แต่สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์ก็ค้นพบว่า พวกเขาสร้างเส้นนัซกาขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับพระเจ้า โดยการเดินทางไปตามเส้นเหล่านี้ และการหายไปของอารยธรรมนัซกาก็ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร เพราะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ได้พิสูจน์แล้วว่า ชาวนัซกาพ่ายแพ้ต่อความแห้งแล้งเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า

 

2. ความลับของหัวโมอาย

 

บนเกาะอีสเตอร์ที่ห่างไกล มีรูปปั้นศีรษะขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ทั่วเกาะที่เรียกว่า “โมอาย” บางศีรษะมีความสูงถึง 20 ฟุต และนั่นทำให้เกิดข้อสงสัยที่ว่า ผู้คนโบราณจะมีความสามารถในการตั้งศีรษะขนาดนี้เป็นร้อยๆ ได้อย่างไร แต่สุดท้ายความลับเหล่านี้ก็ถูกไขโดย ธอร์ เฮเบอร์ดาห์ล นักมานุษยวิทยาชาวนอร์เวย์ ที่เปิดเผยความลับของหัวโมอาย ด้วยการขุดค้นพบว่าพวกมันมีลำตัวอยู่ด้านล่าง และสามารถติดตั้งได้ด้วยเครื่องมือของคนสมัยก่อน

 

3. สุสานปลาวาฬในชิลี

 

สุสานปลาวาฬขนาดมหึมาถูกพบอยู่กลางทะเลทรายอาตากามา ประเทศชิลี นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดการตายหมู่ของปลาวาฬเหล่านี้ จนกระทั่งมีการค้นพบว่า ปลาวาฬเหล่านี้ไม่ได้ตายพร้อมๆ กัน แต่เป็นซากปลาวาฬที่ตายในช่วงเวลาที่แตกต่างกันที่เกิดขึ้นในช่วง 20,000 ปีที่ผ่านมา ส่วนสาเหตุการตายของปลาวาฬเกิดจากการแพร่กระจายของสาหร่ายพิษ

4. ลายมือลึกลับในมหากาพย์โอดิสซีย์

 

โอดิสซีย์ เป็นบทประพันธ์มหากาพย์กรีกโบราณของโฮเมอร์ ที่มีอายุ 800 ปีก่อนคริสตกาล โดยหนึ่งในสำเนาของโอดิสซีย์ที่มีอายุประมาณ 500 ปี มีลายมือลึกลับจดโน๊ตเป็นภาษาที่ไม่มีใครรู้จัก จนกระทั่งภายหลังมีการในเทคโนโลยีในปัจจุบันวิเคราะห์ว่า ลักษณะการจดโน๊ตที่มีรูปแบบเฉพาะนี้ ถูกคิดค้นขึ้นโดย Jean Coulon de Thévénot นักผจญภัยชาวฝรั่งเศสในสมัยนั้น โดยรูปแบบการจดบันทึกแบบย่อนี้ ถูกให้ความสำคัญยิ่งกว่าความหมายที่เขาจดไว้เสียอีก

 

5. หลุมดำในฟลอริดา

 

กลุ่มนักโบราณคดีได้พบหลุมแห่งหนึ่งในแม่น้ำออซิลลาทางตอนใต้ของฟลอริดามานานหลายปีแล้ว แต่ด้วยความดำสนิทของน้ำในบริเวณนั้น จึงไม่มีใครเคยคิดที่จะดำลงไปดูว่ามันคืออะไรกันแน่ จนกระทั่ง เจสซี ฮัลลิแกน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐฟลอริดา ตัดสินใจที่จะค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง โดยเธอได้พบงาและโครงกระดูกของมาสโตดอน สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เป็นบรรพบุรุษของช้าง รวมถึงเครื่องมือโบราณของมนุษย์ ที่พิสูจน์ว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่ในพื้นที่ฟลอริดามานานตั้งแต่ 14,500 ปีก่อน

 

6. กลไกคอมพิวเตอร์ชิ้นแรกของกรีก

 

กลไกแอนติคิเธียรา ได้รับการขนานนามว่า เป็นกลไกคอมพิวเตอร์ชิ้นแรกของโลก มันเป็นโลหะที่สึกกร่อนอยู่ในกล่องไม้ที่ผุพัง โดยถูกพบอยู่ในเรืออับปางที่มาจากในสมัย 80-50 ปีก่อนคริสตกาล และเมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบจุดประสงค์ที่แท้จริงว่ามันเป็นชิ้นส่วนของอุปกรณ์นำทางของชาวกรีก ที่ถูกชาวโรมันขนมาบนเรือพร้อมทรัพย์สินอื่นๆ ก่อนที่เรือดังกล่าวจะอับปางลงไปอยู่ก้นทะเล

 

7. กองทัพที่หายไปของพระเจ้าแคมไบซีสที่ 2

 

ย้อนกลับไปเมื่อ 524 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าแคมไบซีสที่ 2 แห่งเปอร์เชีย ได้เคลื่อนกองทัพไปยังต่อสู้กับชาวเอธิโอเปีย แต่แล้วเรื่องราวลึกลับก็เกิดขึ้น เมื่อทหารกว่า 50,000 คนที่กำลังเดินทางไปนั้น หายไปอย่างไร้ร่องรอย จนกลายเป็นตำนานลึกลับที่ถูกเล่าขานมาจนถึงปัจจุบัน แต่เมื่อไม่นานมานี้ 2 นักวิทยาศาสตร์ แองเจโล และอัลเฟรโด คาสติกลิโอนี ที่เข้ามาศึกษาเรื่องนี้ยาวนานถึง 13 ปี ได้พบหลักฐานแล้วว่า กองทัพไม่ได้หายไปไหน แต่ล้มตายจากพายุทรายที่รุนแรงต่างหาก

 

8. ศีรษะลึกลับบอสแฮม

 

เนื่องจากสภาพที่ย่ำแย่จนไม่สามารถระบุได้ จึงทำให้มันกลายเป็นเรื่องลึกลับมานานกว่า 2 ศตวรรษ และยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากถึงที่มาของศีรษะลึกลับนี้ แต่ผลจากการใช้เลเซอร์สแกนทำให้นักวิทยาศาสตร์ระบุได้ว่า ศีรษะที่หนักถึง 350 ปอนด์นี้เป็นศีรษะของรูปปั้นจักรพรรดิทราจันแห่งจักรวรรดิโรมัน

 

9. ปริศนาหินเดินได้ที่ เดธ วัลเลย์

 

เป็นเรื่องลึกลับระดับตำนาน เมื่อหินหลายก้อนในบริเวณหุบเขาเดธ วัลเลย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถเคลื่อนที่ได้เอง โดยมีการทิ้งร่องรอยการเคลื่อนที่ให้เราเห็นได้อย่างชัดเจน หินบางก้อนมีขนาดหนักหลายกิโลกรัม ทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มสงสัยและพยายามหาคำตอบ จนกระทั่งทฤษฎีล่าสุดของ ราล์ฟ โลเรนซ์ ได้พิสูจน์ว่า แผ่นน้ำแข็งที่ก่อตัวล้อมรอบหินในช่วงฤดูหนาว ในช่วงที่มันเริ่มละลายประกอบกับลมที่รุนแรง จะทำให้หินเคลื่อนที่ไหลไปตามพื้นได้

 

10. การหายไปของพระบรมศพพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษ

 

พระบรมศพของพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษถูกฝังโดยปราศจากพิธี และสุสานของพระองค์ก็ถูกทำลายระหว่างการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ ซึ่งพระบรมศพยังสาบสูญอีกกว่า 500 ปี และไม่มีใครคาดคิดว่าจะเจออีก จนกระทั่งในปี 2012 ได้มีการขุดทางโบราณคดีบนที่จอดรถสภานครแห่งหนึ่ง และได้ค้นพบโครงกระดูกปริศนา และจากการตรวจสอบหาอายุด้วยคาร์บอนรังสี และการเปรียบเทียบดีเอ็นเอ ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่านี่คือพระบรมศพของพระองค์นั่นเอง

 

11. การหายไปลองลูกเรือ แมรี เซเลสต์

 

เรือแมรี เซเลสต์ กลายเป็นเรือผีสิงที่โด่งดังอย่างมากในปี 1872 เนื่องจากมีการค้นพบเรือที่ว่างเปล่า โดยที่ลูกเรือทั้งหมดหายไปและไม่มีร่องรอยการต่อสู้และเสียหายใดๆ เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ต่อมานักเคมีดอกเตอร์ แอนเดรีย เซลลา ได้ทำการทดลองเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าว บนเรือแมรี เซเลสต์ ลำนี้บรรทุกถังแอลกอฮอล์มามากถึง 1,700 บาร์เรล จากการค้นพบรอยฉีกขาดของถังแอกอฮอล์บางส่วน อาจทำให้แอลกอฮอล์ระเหยออกมาจนมีสภาพเป็นสารพิษ ส่งผลให้ไม่มีอากาศหายใจและเกิดภาพหลอน สุดท้ายทุกคนจึงต้องสละเรือทิ้งไป และอาจเสียชีวิตอยู่กลางทะเล

 

12. อากาศยานของชาวอียิปต์โบราณ

 

อักษรไฮเออโรกลีฟ “อบิดอส” ในวิหารของโอซิริส กลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก เนื่องจากสัญลักษณ์ของอักษรบางตัวมีลักษณะคลายอากาศยานรูป ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบินเจ็ท เฮลิคอปเตอร์ หรือแม้แต่รถถัง มีทฤษฎีมากมายที่พยายามเชื่อมโยงไปวิทยาการของชาวอียิปต์โบราณในสมัยนั้น แต่สุดท้ายแล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปว่า ด้วยความพยายามฟื้นฟูอักษรไฮเออโรกลีฟต้นฉบับ ประกอบกับสภาพที่เสื่อมลงตามกาลเวลา จึงทำให้มันมีลักษณะที่ผิดเพี้ยนไป และสมองของเราก็พยายามเชื่อมโยงภาพเหล่านั้น กับรูปร่างลักษณะที่เราคุ้นเคยนั่นเอง

 

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ

ที่มา : brightside | เรียบเรียงโดย เพชรมายา