7 ปริศนาลึกลับที่โด่งดังของโลก ที่แท้จริงถูกเฉลยไปนานแล้ว ภาค 2

ภาค 2 มาตามสัญญา ส่วนใครไม่ได้ชมภาค 1 ไปชมต่อได้ที่ลิงก์ท้ายบทความครับ

บนโลกเราใบนี้มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับปริศนาลึกลับที่ยังถูกกล่าวอ้างว่า “ยังไม่มีคำตอบทางวิทยาศาสตร์” ซึ่งถูกเล่าขานสืบต่อกันมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นเรื่องที่โด่งดังบนโลกอินเทอร์เน็ต แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปริศนาบางอย่างที่เราคิดว่าลึกลับนั้นถูกเฉลยไปนานแล้ว

วันนี้เพชรมายาจะหยิบยกปริศนาที่คุณคิดว่ายังไม่ถูกไขเหล่านี้มาเฉลยให้คุณได้อ่านกันว่าแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร

1. วงธัญพืช หรือ ครอปเซอร์เคิล (Crop Circle)

ถึงแม้ว่าจะมีรายงานเกี่ยวกับรูปทรงเรขาคณิตปริศนาเหล่านี้มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 แต่มันเพิ่งมาโด่งดังเอามาก ๆ ในปี 1978 หลังจากที่มีรายงานเกี่ยวกับครอปเซอร์เคิลอันหนึ่งปรากฎขึ้นในทุ่งใกล้กับเมืองวอร์มินสเตอร์ ในวิลต์เชียร์ ประเทศอังกฤษ ในตอนนั้นเองที่วงกลมปริศนานับร้อย ๆ แห่งปรากฎขึ้นทั่วภาคใต้ของอังกฤษ รวมไปถึงในต่างประเทศทั่วโลก

ความเชื่อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือ มันเป็นสัญลักษณ์ของมนุษย์ต่างดาวที่สร้างเอาไว้ อย่างไรก็ตามครอปเซอร์เคิลทั้งหมดได้กลายเป็นเรื่องหลอกลวงเมื่อในปี 1991 ดัก โบเวอร์ และ เดฟ ชอร์เลย์ ได้ออกมายอมรับว่าพวกเขาเป็นคนสร้างครอปเซอร์เคิลในวิลต์เชียร์ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทความเรื่อง “รังจานบิน” ในนิตยสาร New Scientist ในปี 1963

เพื่อนทั้งสองคนนี้เฉลยวิธีทำครอปเซอร์เคิลให้กับ BBC โดยพวกเขาใช้อุปกรณ์ง่าย ๆ อย่างกระดานไม้และเชือกเท่านั้น และใช้วิธีนี้สร้างครอปเซอร์เคิลหลายร้อยอันทั่วเกาะอังกฤษ โดยทำงานภายใต้ความมืดมิดเสมอ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มันจะปรากฎขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน

2. ความลับของการสร้างพีระมิด

พีระมิดเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าทึ่งอย่างมากมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หลายคนสงสัยถึงวิธีที่มนุษย์โบราณใช้ในการก่อสร้างพีระมิดว่าพวกเขาสามารถขนย้ายบล็อกหินขนาดมหึมาเพื่อมาก่อเป็นพีระมิดได้อย่างไร แต่ความลับของการสร้างพีระมิดไม่ได้เป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาวอย่างที่หลายคนคิดกัน

ในปี 2014 ทีมนักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัมได้นำวิธีที่พวกเขาค้นพบในภาพวาดสุสานโบราณมาทดสอบและก็พบว่า คนงานเหล่านั้นลากก้อนหินขนาดใหญ่บน “เลื่อน” โดยการเทน้ำลงบนพื้นทรายหรือดินเพื่อช่วยหล่อลื่นและลดแรงเสียดทานในระหว่างเส้นทางที่ลากบล็อกหินขนาดใหญ่ไปสร้างพีระมิด

3. เรือผีสิง “ฟลายอิง ดัตช์แมน”

ย้อนกับไปในปี ค.ศ. 1600 มีรายงานการพบเห็นเรือลึกลับลอยอยู่บนขอบฟ้า ซึ่งมักจะปรากฎขึ้นพร้อมแสงแปลก ๆ ในช่วงเกิดพายุ เรือผีลำนี้ถูกร่ำลือกันว่าเป็นเรือค้าขายของชาวดัตช์ที่ล่องไปในมหาสมุทรชั่วนิรันดร์ และมันถูกตั้งชื่อว่า “ฟลายอิง ดัตช์แมน”

ความเชื่อเรื่องเรือผีสิงถูกเล่าขานต่อกันมาจวบจนถึงปัจจุบัน มีรายงานการพบเห็นเรือลำนี้อยู่เป็นระยะ และหากใครที่ได้พบเจอกับเรือผีสิงลำนี้นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังจะพบเจอกับเรื่องร้าย ๆ โดยตำนานนี้ถูกเผยแพร่มากขึ้นผ่านบทกวีต่าง ๆ

ในความเป็นจริงแล้ว ภาพของเรือฟรายอิง ดัตช์แมน คือหนึ่งในตัวอย่างปรากฎการณ์ภาพลวงตาที่เรียกว่า “ฟาตา มอร์กานา” ที่เกิดจากการหักเหของแสงในช่วงที่เกิดความแตกต่างของอุณหภูมิ ส่งผลให้เกิดชั้นบรรยากาศที่มีความหนาแน่นที่แตกต่างกัน การหักเหของแสงนี้ทำให้เรามองเห็นวัตถุบนผิวน้ำดูเหมือนลอยอยู่เหนือน้ำได้

4. ชาวสินธุโบราณอยู่รอดในทะเลทรายโดยไม่มีน้ำได้อย่างไร

อารยธรรมสินธุถือกำเนิดขึ้นมานานกว่า 5 พันปีก่อน โดยปัจจุบันอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียและปากีสถาน อารยธรรมนี้ขึ้นชื่อด้านการปลูกฝ้ายและอินทผลัม และบางเมืองยังมีระบบประปาและระบบชลประทานที่ดีอีกด้วย

แต่สิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์สับสนก็คืออารยธรรมนี้เจริญรุ่งเรืองในพื้นที่ทะเลทรายได้อย่างไร ถึงแม้ที่นี่จะเคยมีแม่น้ำแต่มันก็เหือดแห้งไปในตอนนั้น ซึ่งผลวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ เปิดเผยว่าแม่น้ำสินธุได้แห้งไปเมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนการล่มสลายของอารยธรรมสินธุ หลังจากนั้นพวกเขาอาศัยการเก็บกักน้ำจากลมมรสุมเอาไว้ในแอ่งดินเหนียว เพื่อที่จะนำมาเลี้ยงชีพและใช้ในการทำการเกษตร

5. หัวกระโหลกลึกลับ Starchild Skull

ย้อนกลับไปในปี 1999 หัวกระโหลกลึกลับชิ้นหนึ่งได้ถูกพบในอุโมงค์เหมืองที่ประเทศเม็กซิโก สาเหตุที่มันลึกลับก็เพราะมันมีลักษณะที่แตกต่างจากกระโหลกของมนุษย์ทั่วไป เนื่องจากมันมีขนาดเล็กพอ ๆ กับกระโหลกเด็ก แต่มีช่องสมองที่ใหญ่ผิดปกติ ด้านหลังกระโหลกมีความแบน บริเวณเบ้าตาโปนใหญ่ และไม่มีโพรงจมูก หลายคนเชื่อว่ามันเป็นกระโหลกของมนุษย์ต่างดาวหรือลูกผสมระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาว และมันถูกเรียกว่า Starchild Skull

อย่างไรก็ตาม ได้มีการนำกระโหลกลึกลับนี้ไปตรวจสอบอย่างละเอียดจนกระทั่งได้ข้อสรุปว่า มันเป็นกระโหลกของเด็กอายุประมาณ 5 ขวบ นักประสาทวิทยาพบว่าสาเหตุที่รูปทรงของกระโหลกเสียรูปไปสอดคล้องกับภาวะน้ำคั่งในสมองที่มีมาแต่กำเนิด และผลการตรวจ DNA ก็ได้ข้อสรุปว่ามันเป็นกระโหลกของมนุษย์ 100%

6. น้ำตกสีเลือดในแอนตาร์กติกา

ย้อนกลับไปในปี 1911 นักสำรวจและนักภูมิศาสตร์ โธมัส กริฟฟิธ เทเลอร์ ได้พบกับสิ่งแปลกประหลาดที่บริเวณของธารน้ำแข็งแห่งหนึ่งทางทวีปแอนตาร์กติกาตะวันออก เขาสังเกตเห็นว่าน้ำตกที่เกิดขึ้นบริเวณนั้นมีสีแดงฉานราวกับเลือดซึ่งตัดกับหิมะและน้ำแข็งที่อยู่โดยรอบอย่างเด่นชัด

สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นปริศนามานานกว่า 100 ปี โดยมีการสันนิษฐานไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ว่ามันเกิดจากสาหร่ายที่ทำให้น้ำมีสีแดง จนกระทั่งในปี 2017 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแหล่งที่มาของน้ำสีแดงนี้ พวกเขาใช้เรดาร์ส่งเสียงสะท้อนจากคลื่นวิทยุ จนพบว่าน้ำตกนี้เชื่อมต่อกับแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธาตุเหล็กที่อยู่ภายใต้ธารน้ำแข็ง พวกเขาเชื่อว่ามันเป็นแหล่งน้ำที่เค็มจัดที่มีอายุมากกว่า 1 ล้านปี และมีธาตุ ไอเอิร์นออกไซด์ (Iron Oxide) ในปริมาณสูงจนเป็นสาเหตุของน้ำตกสีแดงฉานนี้

7. รูปปั้นยักษ์ปริศนา โมไอ ใครคือคนสร้าง

รูปปั้นโมไอบนเกาะอีสเตอร์ ในประเทศชิลี ถูกร่ำลือกันมาอย่างยาวนานว่าใครกันแน่ที่เป็นคนสร้างรูปปั้นที่สูงกว่า 5 เมตรและมีน้ำหนักกว่า 20 ตัน แถมยังถูกแกะสลักมาจากหินก้อนเดียว และมันมีจำนวนมากถึง 600 ตัวกระจายอยู่ทั่วเกาะ มันเป็นไปได้หรือไม่ที่ชาวโปลินีเซียที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มาตั้งแต่ 1,000 ปีที่แล้วจะสามารถทำได้ด้วยตัวเอง และพวกเขาเคลื่อนย้ายหินก้อนใหญ่ขนาดนี้มาได้อย่างไร ซึ่งหลายคนเชื่อว่ามันเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว (อีกแล้ว)

ต่อมา ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล นักผจญภัยชาวนอร์เวย์เผยให้เห็นว่า ภายใต้ศีรษะที่โผล่เหนือพื้นดินขึ้นมา โมไอยังมีร่างกายใต้ดินที่ถูกฝังอยู่อีกด้วย นอกจากนั้นทาง BBC ยังเคยนำเสนอวิธีที่คนโบราณใช้เคลื่อนย้ายรูปปั้นโมไอลงดินด้วยใช้เชือกมัดบนศีรษะของรูปปั้นและค่อย ๆ ขยับไปทีละนิด ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ผล

สามารถติดตามภาค 1 ย้อนหลังได้ ที่นี่

ที่มา : boredpanda | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

หรือติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ