7 ปริศนาลึกลับที่โด่งดังของโลก ที่แท้จริงถูกเฉลยไปนานแล้ว

บนโลกเราใบนี้มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับปริศนาลึกลับที่ยังถูกกล่าวอ้างว่า “ยังไม่มีคำตอบทางวิทยาศาสตร์” ซึ่งถูกเล่าขานสืบต่อกันมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นเรื่องที่โด่งดังบนโลกอินเทอร์เน็ต แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปริศนาบางอย่างที่เราคิดว่าลึกลับนั้นถูกเฉลยไปนานแล้ว

วันนี้เพชรมายาจะหยิบยกปริศนาที่คุณคิดว่ายังไม่ถูกไขเหล่านี้มาเฉลยให้คุณได้อ่านกันว่าแท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร

1. การหายไปของชาวมายา

นี่คือหนึ่งในการล่มสลายของอารยธรรมที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ ชาวมายาดูเหมือนจะละทิ้่งอารยธรรมที่ซับซ้อนของพวกเขาและหายตัวไปในป่าอเมริกากลาง มีทฤษฎีมากมายที่พยายามอธิบายเรื่องนี้หรือแม้กระทั่งโยงไปถึงการมาของมนุษย์ต่างดาว

จนกระทั่งในปี 2005 มีทฤษฎีที่ได้รับการยืนยันในเรื่องนี้ อารยธรรมมายาพังทลายลงเนื่องจากภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาทำเอง ชาวมายาโค่นต้นไม้จำนวนมากจนทำให้ความแห้งแล้ง พวกเขาต้องเจอกับความร้อนจากดวงอาทิตย์ประกอบกับปริมาณน้ำฝนที่ลดลง จนทำให้พวกเขาต้องละทิ้งดินแดนที่เคยอุดมสมบูรณ์เพื่อย้ายถิ่นฐานไปหาอาหารต่อไป

2. หินเดินได้เองในหุบเขาเดธวัลเลย์

นี่คือปริศนาที่ถูกพูดถึงกันมานานกว่า 100 ปี เกี่ยวกับหินที่สามารถเคลื่อนที่ได้เองในเขตพื้นที่แห้งแล้งของหุบเขาเดธวัลเลย์ จากร่องรอยที่เกิดขึ้นบนพื้นดินสรุปได้ว่ามันเคลื่อนที่ด้วยตัวเอง ไม่มีร่องรอยการรวบกวนของมนุษย์หรือสัตว์ใด ๆ ทั้งสิ้น มีทฤษฎีที่พยายามอธิบายเรื่องนี้ตั้งแต่ ลม ฝน แรงดึงดูด สนามแม่เหล็ก คนมือบอน หรือแม้แต่มนุษย์ต่างดาว (อีกแล้ว)

แต่สุดท้ายทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ค้นพบความลับที่ทำให้ก้อนหินเคลื่อนไหวได้ ในปี 2011 นักวิจัยจาก Scripps Institute of Oceanography ได้ติดตั้ง GPS เอาไว้ที่ก้อนหิน 15 ก้อน และคอยเฝ้าดูพวกมัน

2 ปีต่อมาพวกเขาพบว่า เมื่อเดธวัลเลย์เจอกับพายุฝนในฤดูหนาวที่เกิดขึ้นได้ยาก น้ำฝนจะไหลลงสู่พื้นดินที่ราบเรียบและกลายเป็นน้ำแข็งในชั่วข้ามคืน ส่งผลให้เกิดเป็นแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่รอบ ๆ ก้อนหิน

ในตอนเช้าเมื่อน้ำแข็งละลายและเริ่มแตกออก ประกอบกับลมที่พัดแรงจะส่งผลให้ก้อนหินที่อยู่บนแผ่นน้ำแข็งจะไถลไปได้ไกลบนพื้นที่ราบ และเมื่อน้ำแข็งละลายเราก็จะไม่พบหลักฐานใด ๆ เหลือเพียงแค่ร่องรอยที่หินเคลื่อนที่ทิ้งเอาไว้จนเป็นปริศนาให้มนุษย์งุนงง

3. เสาเหล็กโบราณที่ไม่ขึ้นสนิม

เสาเหล็กแห่งเดลี คือเสาเหล็กโบราณที่มีความสูง 23 ฟุตที่ถูกพบในหมู่โบราณสถานกุตุบ ถูกสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 450 และมันสร้างความประหลาดใจให้กับชาวบ้านและนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากว่า ทำไมมันถึงไม่ขึ้นสนิม จนมีคนโยงไปว่ามันอาจถูกสร้างโดยมนุษย์ต่างดาวอีกเช่นเคย

แต่จากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์พบว่า เสาเหล็กนี้ถูกเคลือบด้วยชั้นบาง ๆ ที่เรียกว่า Misawite โดยเป็นสารประกอบของเหล็ก ออกซิเจน และไฮโดรเจน ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เหล็กเกิดสนิมได้ ซึ่งถือว่าเป็นความรู้ที่น่าทึ่งของคนโบราณที่คิดค้นสิ่งเหล่านี้ได้

4. ยูเอฟโอตกที่รอสเวลล์

ย้อนกลับไปในปี 1947 เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่าว่ามีวัตถุประหลาดตกใส่ไร่แห่งหนึ่งใกล้กับเมืองรอสเวลล์ รัฐนิวเม็กซิโก และผู้คนต่างเชื่อว่ามันคือยานอวกาศที่มาจากนอกโลก รวมถึงทฤษฎีที่ว่ารัฐบาลสหรัฐพบกับนักบินที่มาจากนอกโลกและนำตัวพวกเขาไปเก็บเอาไว้ตรวจสอบอย่างลับ ๆ ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งที่โด่งดังและถูกพูดถึงมาอย่างยาวนาน

ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐออกมาประกาศว่ามันคือบอลลูนตรวจอากาศธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วมันคือบอลลูนระดับสูง (High-Altitude Balloon) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจสอบการทดสอบปรมาณูของโซเวียต ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นความลับสุดยอดในระหว่างช่วงสงครามเย็น ณ ตอนนั้น ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการปล่อยให้ทฤษฎีสมคบคิดเรื่องยูเอฟโอแพร่ออกไป และมันก็ได้ผลมานานหลายทศวรรษเลยทีเดียว

5. ความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

นี่คือทฤษฎีสมคบคิดที่โด่งดังที่สุดในศตวรรษที่ 20 เกี่ยวกับการหายไปของเครื่องบินและเรือบริเวณสามเหลี่ยมอาถรรพ์แห่งนี้ จากรายงานระบุว่า มีเรืออย่างน้อย 50 ลำและเครื่องบิน 20 ลำที่หายไปโดยที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ แน่นอนว่ามีทฤษฎีมากมายที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้ เช่น มันเป็นพื้นที่สนามแม่เหล็กโลกแปรปรวน มีฟองก๊าซมีเทนที่ปะทุขึ้นมาอย่างฉับพลัน มีสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ มีมนุษย์ต่างดาวที่คอยจับตัวผู้คนไปทดลอง หรือแม้แต่บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเมืองแอตแลนติสที่สาบสูญ

แต่ประเด็นที่มาหักล้างเรื่องนี้ไม่ใช่การอธิบายเหตุผลที่เรือและเครื่องบินหายไป แต่สิ่งที่ตอบเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุดก็คือ “สถิติ” การหายไปของเรือและเครื่องบินที่เกิดขึ้นที่นี่ “ไม่แตกต่างจากที่อื่น” และข่าวเรื่องเบอร์มิวดาก็ถูกสื่อในขณะนั้นสร้างกระแสอย่างต่อเนื่อง เพราะมันเป็นข่าวที่ผู้คนให้ความสนใจและขายได้นั่นเอง

6. ฟอสซิลแมมมอธเพศตัวเมียหายไปไหน

นักวิทยาศาสตร์สับสนว่า เหตุใดฟอสซิลแมมมอธที่ถูกพบร้อยละ 70 เป็นตัวผู้ ส่วนฟอสซิลตัวเมียเป็นสิ่งที่หายากมาก

ในปี 2017 พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งสวีเดนพบว่า สาเหตุของเรื่องนี้เกิดมาจากชีวิตที่น่าสงสารของแมมมอธตัวผู้ เมื่อพวกมันโตเต็มวัยก็จะถูกไล่ออกจากฝูงโดย “ผู้นำ” ที่เป็นตัวเมีย จากนั้นตัวผู้ในวัยหนุ่มก็จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือจับกลุ่มเป็นแก๊งหนุ่มโสด ซึ่งพฤติกรรมของตัวผู้เหล่านี้จะมีความเสี่ยงในการไปติดอยู่ในหลุมยุบหรือบึงมากขึ้น จนนำไปสู่โอกาสในการเป็นฟอสซิลนั่นเอง

7. เนสซี สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนสส์

ตำนานว่าไว้ว่า เป็นเวลาเกือบ 1,500 ปีที่ผู้คนรายงานการพบเห็นสิ่งมีชีวิตลึกลับขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในทะเลสาบเนสส์ ในประเทศสกอตแลนด์ แต่มันกลายเป็นกระแสหนักขึ้นตั้งแต่ปี 1933 หลังจากมีการสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลสาบแห่งนี้

หนึ่งปีต่อมา โรเบิร์ต วิลสัน ศัลยแพทย์ชาวอังกฤษได้อ้างว่าเขาถ่ายภาพสัตว์ประหลาดในตำนานนี้ได้ มันกลายเป็นภาพที่โด่งดังที่สุดจนทำให้มีผู้คนหลงเชื่อมากมาย โดยในปี 2012 มีการสำรวจและพบว่า ชาวสกอตแลนด์ 1 ใน 4 คนเชื่อว่าเนสซีมีจริง

จนกระทั่งในปี 2019 ทีมนักวิจัยจากนิวซีแลนด์นำตัวอย่างน้ำจากทะเลสาบเนสส์ไปวิเคราะห์และศึกษา DNA ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อาศัยอยู่ที่นั่น โดยพวกเขาไม่พบหลักฐานของไดโนเสาร์ ปลาสเตอร์เจียน ปลาดุก หรือฉลาม หรือ DNA ของสัตว์ใด ๆ ก็ตามที่พวกเขาไม่รู้จัก พวกเขาพบแค่ DNA ของปลาไหลมากมายที่นี่

ส่วนสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเขาพบก็คือ European conger ปลาไหลชนิดหนึ่งที่ถูกพบได้ในทะเลสาบทั่วไปในยุโรป ซึ่งมันอาจยาวได้ถึง 7 ฟุตและหนักถึง 60 กิโลกรัม และมันอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเนสซีได้มากที่สุด หรือหากมีสัตว์ที่ตัวใหญ่กว่านี้ แสดงว่ามันไม่ทิ้ง DNA เอาไว้เบื้องหลัง

ยังมีปริศนาลึกลับที่ถูกนำมาเฉลยแบบนี้อีกมากมาย แล้วเราจะกลับมาในภาคต่อไป กดติดตามเพชรมายารอกันไว้ได้เลยครับ

ที่มา : boredpanda | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ