7 สิ่งที่ผู้คนยังคงเชื่ออยู่ แม้นักวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์แล้วว่ามันผิดก็ตาม

ผู้คนยังมีความเชื่อของตัวเองซึ่งนำไปสู่ความคิดที่แตกต่างกันออกไป แม้ว่าในไม่ช้ามนุษย์จะสามารถเดินทางลงบนดาวอังคารได้ แต่ผู้คนก็ยังเชื่อว่าเป็นเรื่องโกหก วิทยาศาสตร์บนโลกของเราจะก้าวหน้าไปไกลมากแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจหยุดความคิดในเรื่องทฤษฎีสมคบคิดได้ อย่างเช่นความเชื่อในเรื่องของโลกแบน วันนี้เพชรมายาจะมาบอกเล่าถึงทฤษฎีที่ยังมีคนถกเถียงกันอยู่และปฎิเสธวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

1. โลกแบน

แม้ฟังดูน่าขำในเรื่องดังกล่าว แต่ยังมีคนเชื่อในเรื่องโลกแบนเป็นจำนวนมาก แม้ว่านาซ่าและหน่วยงานด้านอวกาศทั่วโลกจะมีภาพถ่ายยืนยันว่าโลกกลมแล้วก็ตาม พวกเขายังคงยึดติดกับแผนที่โลกแบบเก่าที่แสดงให้เห็นว่าโลกมีลักษณะเหมือนจานและมีศูนย์กลางจากวงกลมอาร์กติกและแอนตาร์กติกา และถ้ามีใครพูดที่โต้แย้งกับเรื่องนี้พวกเขาจะถือว่าเป็นพวกทฤษฎีสมคบคิดไปในทันที

ในความเป็นจริง: นาซ่าได้บันทึกภาพถ่ายและวีดีโอมากมายที่พิสูจน์ว่าโลกกลม หลักฐานที่ง่ายที่สุดก็คือเมื่อเราขึ้นที่สูง เราจะเห็นเส้นขอบฟ้าเป็นเส้นโค้ง ซึ่งถ้าโลกแบนมันจะไม่แสดงระดับความแตกต่างในภาพที่ปรากฎสู่สายตาเรา

2. พระจันทร์เต็มดวงส่งผลต่อพฤติกรรมของเรา และทำให้เราบ้าได้

มันคือเรื่องในตำนานที่ยังมีคนเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง บางคนบอกว่าอาชญากรรมที่เกิดบนโลกล้วนแล้วมีผลมาจากพระจันทร์เต็มดวงที่ทำให้อารมณ์ของคนเราแปรปรวนและทำให้คนเป็นบ้าได้ แม้แต่ตำรวจยังมีการสั่งการอย่างเข้มงวดในช่วงพระจันทร์เต็มดวง

ในความเป็นจริง: ผลการศึกษาบ่งบอกไว้ว่าไม่มีการเชื่อมโยงระหว่างความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในระหว่างพระจันทร์เต็มดวงแต่อย่างใด หากวัดจากสถิติ ช่วงพระจันทร์เต็มดวงส่วนมากจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดหยุดนักขัตฤกษ์ซึ่งมีคนมากมายในที่สาธารณะ และมีโอกาสเกิดเหตุอาชญากรรมมากขึ้นตามไปด้วย

3. วัคซีนไม่มีจริง

ผลสำรวจที่เกิดเมื่อไม่นานมานี้บ่งชี้ว่า ชาวอเมริกา 45% สงสัยในประสิทธิภาพของวัคซีนและอาจมีผลในแง่ลบต่อร่างกายของพวกเขา ดังนั้นหลายคนจึงเลือกที่จะไม่ให้ลูกหลานของพวกเขารับวัคซีนเข้าร่างกาย ตามผลสำรวจขององค์การอนามัยโลกระบุไว้ว่า ความลังเลในการไม่รับวัคซีนเป็นหนึ่งในสิบภัยร้ายต่อสุขภาพโลกในปี 2019

ในความเป็นจริง: วัคซีนยังคงช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของเราได้เป็นอย่างดี อย่างเช่นไอกรนซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจที่หายไปเกือบทศวรรษแล้ว และตอนนี้มันเริ่มกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งจนส่งผลให้เด็กเสียชีวิตไปบ้างแล้ว

4. ออสเตรเลียไม่มีจริง และพลเมืองในประเทศเป็นนักแสดง

มีคนจำนวนมากที่เชื่อว่าออสเตรเลียไม่มีจริง โดยมหาวิทยาลัยโอไฮโอระบุว่ามีทฤษฎีในเรื่องดังกล่าวว่าอังกฤษไม่ได้ส่งนักโทษไปยังออสเตรเลีย แต่แท้จริงแล้วพวกเขาสังหารนักโทษทั้งหมดและไม่มีเกาะดังกล่าวอยู่จริง โดยเรื่องดังกว่าวมีการตีพิมพ์ในนิตยสารหลายฉบับ

ในความเป็นจริง: สายการบินมากมายมีเที่ยวบินไปออสเตรเลียทุกวัน คงไม่ต้องอธิบายในทฤษฎีที่น่าขันเช่นนี้อีก เพราะแค่คุณไปขอวีซ่าและบินไปที่ออสเตรเลียก็พิสูจน์ความจริงดังกล่าวได้แล้ว

5. สัตว์ประหลาดลอคเนสส์มีจริง

เนสซีหรือสัตว์ประหลาดลอคเนสส์คือความเชื่อพื้นเมืองเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในทะเลสาบลอคเนสส์ที่มีการบันทึกภาพถ่ายของมันเอาไว้ ทำให้เรื่องดังกล่าวเพิ่มความเชื่อมากยิ่งขึ้น จนมีคนอ้างว่าได้พบเห็นตัวของมันอีกด้วย

ในความเป็นจริง: ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดอะไรในทะเลสาบลอคเนสส์โดยมีการพิสูจน์แล้วว่าภาพถ่ายที่โด่งดังที่คนทั่วโลกรู้จักถูกปลอมแปลงขึ้นมา การศึกษาและสำรวจมากมายเกิดขึ้นในทะเลสาบและพบว่าสิ่งมีชีวิตที่คนเห็นอาจจะเป็นแค่ปลาไหลยักษ์หรือแมวน้ำ

6. พระจันทร์มีด้านมืด

ความคิดดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะเราไม่อาจเห็นพระจันทร์ในรูปแบบครบถ้วน 100% จากบนโลกได้ ส่วนที่เหลือถูกแช่แข็งและมืดมิดไร้แสงอาทิตย์สาดส่อง ความเชื่อที่ผิดเริ่มมากขึ้นเพราะมีการตั้งทฤษฎีที่ผิดในเรื่องของการล็อกคลื่นจากโลกที่ทำให้พระจันทร์ไม่หมุนไปทางอื่น

ในความเป็นจริง: ทฤษฎีดังกล่าวสามารถพิสูจน์ได้ด้วยข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์ เมื่อเราเห็นดวงจันทร์เต็มดวงมันหมายความว่าดวงอาทิตย์ส่องแสงจากด้านข้างทำให้เราเห็นรูปร่างของมันครบถ้วน ในขณะที่จันทร์เสี้ยวที่เราเห็นเกิดจากการที่แสงอาทิตย์ส่องไปด้านอื่นของดวงจันทร์ทำให้เราเห็นแค่เพียงบางส่วน ดังนั้นพระจันทร์มีแค่ด้านที่หันหน้าเข้าหาโลกและด้านที่ไกลจากโลกเท่านั้นเอง

7. โลกร้อนเป็นเรื่องเหลวไหล

มีคนมากมายที่ยังคงไม่เชื่อว่าโลกกำลังร้อนขึ้นและมนุษย์เราไม่ได้สร้างผลกระทบใดกับธรรมชาติเลย แกนนำของกลุ่มคนที่ตั้งข้อสงสัยในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกก็คือเหล่าบริษัทน้ำมันและกลุ่มอุตสาหกรรม

ในความเป็นจริง: มีการศึกษามากมายที่พิสูจน์ได้ว่าสภาพอากาศของโลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วโดยฝีมือของมนุษย์ ก๊าซเรือนกระจกคือต้นเหตุสำคัญในการทำให้โลกร้อนขึ้น มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากมายกว่า 11,600 ชิ้นที่ยืนยันถึงเรื่องดังกล่าว และผลการวิจัยพบว่าภาวะโลกร้อนจะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้

ในไทยของเราก็ยังมีความเชื่อที่ผิดมากมาย ทั้งเรื่องน้ำผุดจากดินว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือแม้แต่เรื่องของตุ๊กแกที่จะมากินตับเด็ก แล้วคุณละมีเรื่องเล่าพื้นบ้านหรือตำนานที่ไม่น่าเป็นจริงบ้างไหม

ที่มา : brightside | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ