นักวิทยาศาสตร์เกือบทุกคนเชื่อว่า โลกของเราไม่ใช่ดวงดาวเพียงดวงเดียวในจักรวาลที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ซึ่งในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ อาจมีที่ไหนสักแห่งที่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่ มันอาจเป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว สิ่งมีชีวิตแบบไร้มันสมอง หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาไม่แพ้มนุษย์โลกของเรา
ดังนั้นโครงการค้นหาสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวจึงเริ่มขึ้น นาซ่าได้เริ่มภารกิจนี้มานานหลายสิบปีแล้ว และสิ่งที่นาซ่าคาดหวังคือการที่จะพบดวงดาวสักแห่งที่เหมาะกับสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ อย่างเช่นการค้นพบล่าสุด ในระบบดาว Trappist-1 ที่นาซ่าค้นพบดวงดาวคล้ายโลกถึง 7 ดวง และอาจมีสักดวงที่เจอแจ็คพอตเข้า
ถึงแม้การค้นพบสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวจะเป็นเรื่องดี แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราบังเอิญไปเจอสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดคิดล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น ?
ศจ.สตีเฟน ฮอว์คิง นักวิทยาศาสตร์ที่ทั่วโลกรู้จักกันดีเคยให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “ถ้าสิ่งมีชีวิตต่างดาวมีอยู่จริงในจักรวาลที่กว้างใหญ่ พวกเขาอาจไม่ได้เป็นเพื่อนบ้านที่ดีอย่างที่มนุษย์เรากำลังมองหา”
“มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นอาจเป็นพวกเร่ร่อนที่กำลังมองหาสถานที่สำหรับการก่อตั้งอาณานิคมแห่งใหม่ ยึดโลกของเรา ยึดทรัพยากร สร้างยานอวกาศมากขึ้น ไม่มีใครรู้ขีดจำกัดที่แน่นอนของพวกเขา”
ลองนึกภาพมนุษย์ต่างดาวที่ทรงภูมิปัญญา ผลาญทรัพยากรที่ดวงดาวบ้านเกิดจนหมด จนไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ พวกเขามียานอวกาศขนาดใหญ่ที่อพยพผู้คนพร้อมกับกองทหารมามากมายเพื่อตามหาดวงดาวที่เหมาะสม และจะมีที่ไหนที่เหมาะไปกว่าโลกของเรา ดวงดาวอายุน้อย สวยงาม และเหมาะแก่การดำรงชีวิตมากที่สุด
นอกจากนั้น ศจ.ฮอว์คิง ยังกล่าวอีกด้วยว่า “เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลย แต่เรารู้จักมนุษย์ด้วยกันเองดี ถ้าคุณมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ที่มนุษย์ติดต่อกับสิ่งมีชีวิตที่ด้อยกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือหายนะของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น”
“พวกเขาอาจมีเทคโนโลยีและอารยธรรมที่สูงกว่าเราหลายพันล้านปี ลองคิดดูว่าพวกเขาจะทรงพลังมากขนาดไหน และพวกเราอาจไม่ได้มีค่าอะไรมากไปกว่าที่เราเห็นแบคทีเรีย”
คำกล่าวของ ศจ.ฮอว์คิง คงไม่ได้พูดเกินจริงไปนัก ตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เราเห็นความสูญเสียของชาวอินเดียนบนแผ่นดินอเมริกา จากการมาเยือนของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ชาวอินเดียถูกจับมาทรมาน เป็นทาส ถูกล่าอาณานิคม สุดท้ายในปัจจุบันนี้ เราก็เห็นแล้วว่า ผลลัพธ์ต่อมาเป็นอย่างไร
ในอีกฟากหนึ่งของโลกบนแผ่นดินออสเตรเลียที่เคยเป็นของชาวอะบอริจินเมื่อ 200 ปีที่ผ่านมา พวกเขาถูกยึดครองโดยราชวงศ์อังกฤษ ชาวเมืองท้องถิ่นที่เป็นชนเผ่าต่างๆ ถูกขับไล่ออกไป และถูกปกครองโดยคนขาวโดยสมบูรณ์
แต่อย่างสุภาษิตที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” และคงไม่มีอะไรมาขัดขวางความอยากรู้อยากเห็นของมนุษยชาติเราได้ในตอนนี้ พวกเราคาดหวังว่าจะเจอเพียงแค่แบคทีเรีย สัตว์เซลล์เดียว หรือสัตว์ดึกดำบรรพ์อะไรก็ตามบนดาวดวงอื่น
แต่เราไม่เคยคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมา หากเราได้เจออะไรที่มากกว่านั้น ซึ่งถ้าพวกเขาสามารถเดินทางด้วยความเร็วเท่าแสงหรือมากกว่ามาหาเราได้ มนุษย์โลกเราคงไม่ได้เป็นผู้ควบคุมชะตากรรมตัวเองอีกต่อไป
ตัวอย่างจากภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น ID4, War of the Worlds, Predator, Alien และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นจินตนาการที่อาจเป็นไปได้สูง และจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาเดินทางมาพร้อมกับยานอวกาศลำใหญ่มาถึงโลกใบนี้
1. ถึงแม้จะมีการเจรจากันได้ แต่ด้วยความที่ด้อยกว่า จะทำให้เราเสียเปรียบ ทรัพยากรบนโลกที่พวกเขาต้องการจะต้องถูกแบ่งปันไปเรื่อยๆ เหมือนเราเป็นหัวเมือง ที่ต้องส่งส่วยบรรณาการไปให้เมืองหลวงตลอดเวลา ซึ่งมนุษย์อาจได้เรียนรู้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกว่ามาทดแทน
2. การแบ่งปันพื้นที่อยู่อาศัย ถ้าโชคดีเราอาจเสียแค่ดินแดนบางส่วนที่เราเลือกได้ แต่ถ้าโชคร้าย เราอาจได้ถูกขับไล่ไม่ต่างอะไรกับชาวอินเดียนหรือชาวอะบอริจินนั่นเอง
3. โชคร้ายที่สุด เราอาจถูกล้างบ้างโดยไม่ได้ทำอะไรเลย ลองนึกภาพว่าเราอาจโดนเทคโนโลยีกวาดล้างที่ล้ำสมัยกว่าเราหลายหมื่นปี เรียกได้ว่าตายแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั่นเอง
และด้วยผลลัพธ์ที่กล่าวมาทั้งหมด ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงควรหยุดตามหาสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเสียที แต่ถ้าคุณเป็นคนที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ แสดงว่าคุณเป็นคนที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ต่างดาว และคงยอมเสี่ยงที่จะได้เห็นมนุษย์ต่างดาวตัวเป็นๆ สักครั้งในชีวิตแน่นอน
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ
เขียนโดย : เพชรมายา