ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์มีเรื่องราวลึกลับเป็นปริศนามากมายโดยมีพยานรู้เห็นใดๆ ที่จะมาอธิบายปรากฎการเหล่าที่เกิดขึ้นได้ วันนี้เรามีเรื่องราวของการหายไปที่เป็นปริศนาตราบจนถึงทุกวันนี้
6. การหายไปของผู้ดูแลประภาคาร
ประภาคารนี้ตั้งอยู้ที่เกาะ ไอลิน มอร์ของสกอตแลนด์ โดยมีเรื่องราวของการหายไปของชายสามคนที่เป็นปริศนา เรื่องเกิดขึ้นในปี 1990 เมื่อผู้เฝ้าประภาคารหลักโจเซฟ มัวร์ได้กล่าวลาเพื่อนร่วมงาน และออกจากสถานีชายฝั่งทำให้เหลือผู้ช่วยสามคนบนเกาะเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม
10 วันต่อมาสถานีชายฝั่งได้รับคำเตือนจากเรืออาร์ชทอร์ว่าไม่มีแสงไฟจากประภาคารซึ่งขัดต่อคู่มือการทำงานแต่มันเป็นเรื่องไม่ร้ายแรงนักจึงไม่มีคนขึ้นไปตรวจสอบบนเกาะในเรื่องนี้ ต่อมาโจเซฟ มัวร์ได้กลับมายังเกาะนี้ในวันที่ 26 ธันวาคมหลังพายุที่รุนแรงแต่กลับไม่พบใครที่ประภาคาร ทั้งประตูและหน้าต่างถูกล็อกรวมทั้งเสื้อคลุมฝนที่ยังแขวนด้านในประภาคาร ตะเกียงยังมีเชื้อเพลิงอยู่แต่นาฬิกากลับไม่ทำงาน
สิ่งที่น่าแปลกใจคือโต๊ะทานอารหารที่คว่ำอยู่ ไม่พบใครที่ห้องอื่นๆ เลย แต่มัวร์แน่ใจว่าลูกทีมของเขาไม่ได้ออกจากประภาคารพร้อมกันแน่ เพราะว่ามันเป็นข้อห้ามตามคู่มือและพวกเขามีประสบการณ์การทำงานมานาน ในระหว่างกระบวนการสืบสวนทุกตารางนิ้วของเกาะถูกตรวจสอบ แต่ไม่พบร่องรอยของคนทั้งสามมีคนกล่าวว่าอาจจะเป็นปีศาจร้าย มนุษย์ต่างดาวและแม้แต่นกยักษ์ที่มาพาตัวพวกเขาไป อย่างไรก็ตามการสืบสวนเน้นไปที่สิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ก็คือพวกเขารู้ล่วงหน้าว่าจะมีพายุใหญ่ จึงออกไปที่โขดหินเพื่อซ่อมอุปกรณ์แต่บังเอิญเกิดคลื่นยักษ์ซัดเข้าหาพวกเขาซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกใดๆ ที่จะเกิดขึ้นในทะเลที่รุนแรงในบริเวณนี้
5. สปริงฟิลด์ทรีนีตี้
นี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวการหายตัวไปของคน 3 คนที่เกิดขึ้นในสปริงฟิลด์เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 1992 โดยซูซาน สตรีทเทอร์ และสเตซี่ แมคคอลวัยรุ่นอายุ 19 ปีที่เพิ่งจบการศึกษาได้นัดกันเพื่อไปที่บ้านของซูซานโดยมีแม่ของเธอเชอร์ริลล์รออยู่ นับตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครพบพวกเธออีกเลย
บุคคลแรกที่ตระหนักว่าพวกเธอได้หายก็คือเพื่อนของพวกเธอ จาแนล เคอร์บี้ ผู้ที่ไปหาพวกเธอที่บ้านพร้อมแฟนหนุ่ม และพบว่าประตูไม่ได้ล็อกรวมทั้งโคมไฟที่ระเบียงแตกแต่หลอดไฟไม่ได้เสียหายใดๆ ไม่มีใครในบ้านนอกจากสุนัขพันธ์ยอร์กเชียร์เทอร์เรียที่ซูซานและแม่เลี้ยงไว้ แม้ในตอนแรกจาแนลและแฟนหนุ่มจะไม่สงสัยอะไรโดยพวกเขายังเก็บกวาดแก้วที่แตกออกไปด้วยซึ่งอาจจะเป็นหลักฐานสำคัญในเรื่องนี้
สุดท้ายนางแมคคอลที่ติดต่อลูกสาวตัวเองไม่ได้เลยเริ่มกังวลและไปยังบ้านของสตรีทเทอร์แต่พบเพียงกระเป๋าและเสื้อผ้าของสเตซี่ เธอได้ตรวจสอบข้อความตอบกลับในโทรศัพท์พบข้อความความชวนสงสัยแต่เธอเผลอลบมันทิ้งไป
ตำรวจได้ออกค้นหาเป็นเวลา 16 ชั่วโมงหลังการหายตัวไปแต่ไม่พบร่องรอยใดๆ ในบ้าน การสอบสวนมาถึงทางตันจนถึงปี 2007 เมื่ออาชญาการโรเบิร์ต เครก ค๊อกถูกจับโดยเขาอ้างว่ารู้เรื่องของการหายไปของผู้หญิงทั้ง 3 คน การสอบสวนพบว่าใน 1992 ค๊อกอาศัยในเมืองเดียวกันกับสาวที่หายไปทั้งสามคน และนี่อาจจะเป็นข้อมูลสำคัญแต่อย่างไรก็ดีเขาจะบอกทุกสิ่งที่เขารู้ในเรื่องการตายของแม่ของเขาที่ยังไม่ได้รับการไขปริศนาเช่นกัน
4. ลูกเรือที่หายไปของแมรี่ เซเลซเต้
เรือบรรทุกสินค้าแมรี่ เซเลซเต้ ที่มีกัปตันเบนจามิน บริกส์ออกจากท่าเรือนิวยอร์กที่เกาะสแตเทนเพื่อไปยังเจนัวพร้อมด้วยภรรยาและลูกสาวสองคนกับลูกเรืออีก 7 คน โดยมีจุดหมายในการส่งเอทานอลซึ่งเป็นของไมส์เนอร์ แอคเคิ้ลแมนแอนด์คอยน์ อย่างไรก็ตามมันไม่ได้ไปถึงจุดหมาย อีก 4 อาทิตย์ต่อมาเรือได้ถูกพบโดยเดวิด เมอร์เฮาส์กัปตันของเรือสินค้าที่รู้จักกับบิกส์เป็นการส่วนตัว
เรือรบไม่ได้รับความเสียหายใดๆ แต่กลับไม่มีใครอยู่บนเรือทุกสิ่งเหมือนมีการอพยพคนออกไปอย่างเร่งด่วน ไม่มีเรือเล็กและเข็มทิศก็เสียหาย ไม่มีใครทราบสาเหตุที่คนเหล่านี้หนีออกจากเรืออยู่ดี อัญมณีถูกทิ้งไว้บนโต๊ะรวมทั้งน้ำมันจักรก็วางไว้โดยภรรยาของกัปตันบนเครื่องเย็บผ้าที่ไม่ได้รับเสียหายอันใด นี่บ่งบอกได้ว่าเรือไม่ได้ถูกปล้นหรือโดนพายุโจมตี ส่วนสินค้าแทบไม่มีใครแตะต้องมีเพียงถังสินค้า 9 ใบที่ชำรุด บันทึกสุดท้ายของเรือคือวันที่ 24 พฤศจิกายนและระบุไว้ว่าเรือเทียบท่าที่เกาะซานตามาเรีย
เรื่องราวที่คาดว่าจะเป็นไปได้ก็คือสินค้าของบริกส์เกิดการรั่วซึมจากการจัดเก็บที่ไม่ดีทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดระเบิดขนาดเล็กขึ้น เนื่องจากความกลัวในการที่จะเกิดระเบิดอีกครั้งทำให้กัปตันตัดสินใจสละเรือเพื่อไปลงเรือเล็ก แต่ลมที่รุนแรงทำให้เรือเล็กกระแทกกับเรือแมรี่ เซเลซเต้ทำให้เกิดการพลิกคว่ำเป็นเหตุให้ผู้โดยสารทั้งหมดจมน้ำเสียชีวิต
3. คอร์ริน่า ลิน เซเกอร์ มาลินอสกี้ และลูกสาวของเธอ
21 พฤศจิกายน 1987 เจ้าของร้านในเมืองซัมเมอร์วิละบว่าลูกจ้างของเขาคอร์ริน่า ลิน เซเกอร์ มาลินอสกี้ไม่ได้มาทำงานตามปกติ เขาติดต่อเธอไม่ได้จึงออกไปหาเธอที่บ้าน ระหว่างทางเขาได้พบรถของเธอที่จอดไว้ใกล้กับฟาร์มแห่งหนึ่งซึ่งสามีของเธอทำงาน เขารู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่แปลกไปจึงได้โทรเรียกตำรวจเพื่อรายงานการหายตัวไปของหญิงสาวรายนี้
ตำรวจพบว่าครั้งสุดท้ายที่มีคนพบคอร์ริน่าคือเมื่อเวลา 11 นาฬิกาบนทางด่วน ไม่มีร่องรอยใดๆ เพิ่มเติมอีกการสอบสวนพบทางตันจนกระทั่งมีการหายไปอีกครั้งในวันที่ 4 ตุลาคม 1988 เมื่อลูกสาวของคอร์รินาจากการแต่งงานครั้งแรกที่ชื่อ แอนเน็ท เซเกอร์ หายตัวไปโดยพบครั้งสุดท้ายกับพ่อเลี้ยงของเธอ เวลา 7 นาฬิกาเธอออกไปรอรถโรงเรียนใกล้ฟาร์มที่แม่ของเธอหายตัวไป
รถบัสไม่ได้รับแอนเน็ทขึ้นมา กว่าพ่อเลี้ยงจะรู้ตัวก็ตอนที่ไปรับเธอที่หน้าฟาร์มโดยพบข้อความบอกไว้ว่า “พ่อ, แม่กลับมาแล้ว กอดน้องๆ ” โดยข้อความถูกเขียนโดยตัวแอนเน็ทเอง ซึ่งเป็นหลักฐานเดียวในเรื่องราวนี้ซึ่งบางคนตีความว่าอาจจะเป็นเอเลี่ยนที่ย้อนกลับมาจับลูกสาวไปหาแม่ด้วย หรืออาจจะเป็นวิญญาณร้ายของแม่ที่ถูกฆ่าตายย้อนกลับมาหาลูกสาว แต่ในทางที่น่าเชื่อที่สุดน่าจะเป็นเรื่องที่คอร์ริน่า หนีไปกับคนรักใหม่ของเธอและย้อนกลับมารับลูกสาวในไม่กี่เดือนถัดมา
2. การหายตัวไปของเด็ก 5 คน จากเตียงของพวกเขาเอง
วันที่ 2 ธันวาคม 1945 เจ้าของโรงแรมเล็กๆ ในเวอร์จิเนีย จอร์จและเจนนี่ ซอดเดอร์อยู่ที่บ้านกับลูกๆ ทั้ง 9 คน เวลาเกือบ 21 นาฬิกาพวกเด็กๆ ขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองหลังจากเล่นของเล่นใหม่ที่เพิ่งได้รับจากพี่สาวคนโต น้องคนเล็กสุดอยู่ในความดูแลของพี่สาวคนโต ขณะที่ลูกสาวอายุสองขวบนอนกับพ่อแม่ในห้อง
เจนนี่ตื่นขึ้นมาตอนตี 1 จากการได้กลื่นควันไฟ และพบว่าบ้านทั้งหลังถูกไฟไหม้ ไม่มีเวลาให้โทรศัพท์แจ้งหน่วยงานใดๆ เธอและสามีตะโกนเรียกลูกของพวกเธอให้ลงมาข้างล่าง มีเพียงลูกชายคนโต 2 คนที่ลงมา ส่วนคนที่เหลือไม่มีใครพบจนบัดนี้ ไม่พบร่างของพวกเขาในบ้านและพ่อกับแม่ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะตายแล้วจากไฟไหม้ 7 ปีผ่านไปหลังเรื่องราวน่าเศร้านี้ พวกเขาได้เผยแพร่ภาพของเด็กๆ ทาง TV เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบและมอบข้อมูลในเรื่องราวนี้
ทางหัวหน้าครอบครัวเชื่อว่าพวกเขาน่าจะโดนลักพาตัว โดยมีเรื่องราวของชายที่มาหางานในโรงแรมแต่ถูกปฎิเสธไป เมื่อชายคนนั้นเห็นแผงวงจรไฟฟ้าจึงได้เอยมาว่าวันนึงเขาจะกลับมาเผาที่นี่ อย่างไรก็ตามการสอบสวนพบว่าแผงวงจรไฟฟ้ายังอยู่ในสภาพที่ดีเรื่องนี้จึงตกไป หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ประกันได้มาเสนอประกันชีวิตให้กับทั้งครอบครัว แต่จอร์จปฎิเสธทำให้ชายคนดังกล่าวโมโหและบอกว่าลูกทั้งหมดของพวกเขาจะตาย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านของซอดเดอร์กันแน่
1.สามเหลี่ยมเบนนิ่งตัน
ชื่อแปลกๆ นี้มาจากป่าที่ตั้งรอบๆ ภูเขากลัสเตนเบอรี่ในเบนนิงตัน รัฐเวอร์มอนท์ มันมีชื่อเสียงเหมือนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเพราะมีผู้คนหายตัวไปโดยไม่มีร่องรอยอย่างน้อย 5 คน โดยรายแรกที่หายไปเกิดในปี 1945 เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้วัย 74 ปีนามมิดดี้ ริวเวอร์ ได้ปีนเขาไปกับนายพราน 4 คนโดยริวเวอร์นำหน้าไปก่อน และนายพรานก็ไม่พบเขาอีกเลยทั้งที่เขาเป็นนักเดินป่าที่ประสบการณ์สูงจึงไม่มีทางที่จะหลงทางเป็นแน่
ปีถัดมาสาววัย 18 ปีนามพอลล่า เวลเดนได้หายตัวไปในป่า หญิงสาวเดินป่าไปในเส้นทางเดินป่าทางไกลและไม่เคยกลับมาอีก เธอเป็นลูกสาวของสถาปนิก และการหายไปของเธอทำให้มีการก่อตั้งกรมตำรวจในเวอร์มอนต์ขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การค้นหาทำโดยนักสืบจากนิวยอร์ก คอนเนคติคัท และแมสซาชูเซตส์ที่ทำงานร่วมกันกับ FBI จนถึงปี 1947 แต่ไม่มีใครพบร่างของเธออีกเลย
3 ปีต่อมาหลังเรื่องราวนี้ ได้เกิดการหายตัวไปอย่างลึบลับอีกครั้งในสามเหลี่ยมเบนนิงตันเมื่อ เจมส์ เทดฟอร์ด ขึ้นรถบัสกลับบ้านจากการไปเยี่ยมญาติของเขา มีคนพบเขาครั้งสุดท้ายที่ด้านหลังของรถบัสกับสัมภาระโดยเป็นป้ายเกือบสุดท้ายแล้ว แต่เจมส์ไม่เคยไปถึงที่ป้ายรถบัสสุดท้ายไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
ปีถัดมาหลังจากการหายตัวไปของเทดฟอร์ด เด็กชายอายุ 8 ขวบที่ชื่อ พอล เจฟสัน ได้หายตัวไปจากรถบรรทุกที่แม่ของเขาเป็นคนขับบริเวณเขตสามเหลี่ยมเบนนิงตัน เรื่องราวเกิดขึ้นในขณะที่แม่ของเขาจอดรถเพื่อทำธุระ เพียงไม่กี่วินาทีเธอได้พบว่าลูกชายได้หายตัวไป มีการค้นหาในพื้นที่ทุกตารางนิ้วทั้งตำรวจและอาสาสมัครแต่ก็ไม่มีวี่แววและเบาะแสใดๆ ของเด็กชายคนนี้
16 วันให้หลัง ฟรีดา แลงเกอร์ หญิงวัย 53 ปี ได้หายตัวไปในสามเหลี่ยมเบนนิงตันระหว่างปีนเขาในบริเวณนั้นกับลูกพี่ลูกน้องของเธอ ระหว่างทางเธอตกลงไปในลำธารทำให้เธอต้องแยกตัวกลับไปเปลี่ยนชุดที่แคมป์ นับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครได้พบเธออีกเลย
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจเพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ
ที่มา : brightside | เรียบเรียงโดย เพชรมายา