ทฤษฎีสมคบคิดเชื่อ สัญญาณ 5G คือตัวการที่ทำให้ไวรัสโคโรนาแพร่ระบาด

มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกิดขึ้นในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งทฤษฎีดวงจันทร์ ทฤษฎีสมคบคิดของรัฐบาลโลก รวมทั้งทฤษฎีเรื่องของเอเลี่ยน วันนี้เราจะมาบอกเล่าถึงทฤษฎีใหม่ล่าสุดของทางฝั่งของอเมริกาและยุโรป ในเรื่องของข่าวความหวาดวิตกเกี่ยวกับสัญญาณ 5G เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญหน้ากับการระบาดของไวรัสโควิด 19 ยิ่งทำให้ความลือดังกล่าวแพร่กระจายไปมากกว่าเดิม ว่าไวรัสที่ระบาดในครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับสัญญาณโทรศัพท์มือถือก็เป็นได้

เรามาเริ่มเรื่องราวกันที่นักแสดงฮอลลีวูดอย่างวูดดี อัลเลน ที่โพสต์ข้อความเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบทาง Instagram โดยบอกว่า “มีเพื่อนของเขามากมายที่กำลังพูดถึงผลกระทบในแง่ร้ายเกี่ยวกับสัญญาณ 5G” ในวันถัดมาหอสัญญาณ 5G ในเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษก็เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นหลังจากมีการโพสต์และคอมเมนต์ในเชิงลบเรื่องการต่อต้านสัญญาณ 5G แม้ทางการจะบอกว่าอาจเกิดจากปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรก็ตาม

ตอนนี้ทั่วโลกใช้สัญญาณ 5G ประมาณ 40 ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกาหลีใต้และประเทศจีนซึ่งใช้งานกันอย่างแพร่หลาย หลายรัฐในอเมริกาก็เช่นกัน อย่างรัฐคลีฟแลนด์และโคลัมบัส

ก่อนหน้าการระบาดของไวรัสโคโรน่า ความกลัวเรื่องของสัญญาณ 5G มุ่งเป้าไปที่เรื่องของความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งเมื่อใช้สัญญาณมือถืออย่างต่อเนื่อง แม้ว่าหลักฐานที่สนับสนุนความกลัวดังกล่าวแทบไม่มีน้ำหนักและไม่มีอยู่จริงก็ตาม แต่นักอุตุนิยมวิทยาบางคนต่างกังวลว่าเทคโนโลยีล่าสุดอาจรบกวนดาวเทียมพยากรณ์อากาศ

หลังการระบาดของไวรัสไม่นาน ก็มีข่าวลือหนาหูถึงเอกสารภาษาอังกฤษที่เผยว่า ไวรัสที่กำลังระบาดอย่างหนัก คืออาวุธชีวภาพที่สร้างโดยรัฐบาลจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลดจำนวนประชากรที่สนับสนุนโดยบิลล์ เกตส์ อดีตซีอีโอของไมโครซอฟท์ หรือแม้แต่ข่าวที่บุคคลมีชื่อเสียงของโลกดื่มสเต็มเซลล์จากเลือดของเด็กที่ปนเปื้อนเพื่อทำให้พวกเขาดูอ่อนวัยลง เหลือเชื่อว่ามีความเชื่อแบบนี้อยู่

ข่าวความเชื่อที่แพร่สะพัดไปทั่วสื่อโซเชียลมากมาย ยิ่งเข้ากันได้ดีในช่วงที่ไวรัสระบาดอย่างลงตัว การค้นหาข่าวสารเรื่องทฤษฎีที่จับต้นชนปลาย ผสมลงตัวเข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งเราสามารถดูจากข่าวอันดับต้น ๆ ที่นำเสนอว่าสัญญาณ 5G คือสิ่งชั่วร้าย และไวรัสโคโรน่าคืออาวุธชีวภาพ

ในช่วงเวลาห้าปีที่ผ่านมา Facebook แชร์ข้อมูลผ่าน BuzzSumo เว็บไซต์ที่คอยวัดค่าทางสังคม โดยบอกเล่าถึงลิงค์ที่นำเสนอความอันตรายของสัญญาณ 5G ไว้ หรือแม้แต่วีดีโอบน YouTube ก็ตาม ทั้งหมดเกิดขึ้นในปีก่อนในช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับการประกาศใช้งานสัญญาณ 5G โดยบริษัทโทรคมนาคมของอังกฤษ

อังกฤษผลักดันการใช้งานสัญญาณ 5G ก่อนใคร ซึ่งนำไปสู่การเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านเรื่องดังกล่าวอย่างรุนแรง ในปี 2018 พรรคฝ่ายค้านได้จัดงานประชุมพรรคขึ้น โดยมีการบรรยายจากนักยูทูปเบอร์ของอังกฤษและนักทฤษฎีสมควบคิดอย่างมาร์ค สตีล ในประเด็นเรื่องของอันตรายจากสัญญาณ 5G

หนึ่งในกลุ่มเคลื่อนไหวทาง Facebook ที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษที่มีจำนวนสมาชิกมากกว่า 50,000 คน สร้างข่าวลือว่าหอสัญญาณ 5G ที่ลุกเป็นไฟนั้นเกิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการแจ้งข่าวสารแก่ประชาชน โดยในคอมเมนต์ที่เกลียดชังบอกไว้ว่า แท้จริงแล้วเหล่าผู้นำของประเทศวางแผนเรื่องเหล่านี้มานาน เราต้องโค่นล้มมันลงให้ได้ ผู้คนเริ่มตระหนักเรื่องที่เกิดขึ้น และเราต้องยืนหยัดต่อสู้

ทางด้านของสื่อวีดีโอก็เช่นกัน มีวีดีโอที่มาจากอดีตผู้จัดการของบริษัท Vodafone ซึ่งทำให้เรื่องราวยิ่งน่าเชื่อถือ เมื่อเขาออกมาเปิดเผยว่าไวรัสโควิด-19 ไม่ได้มีต้นตอมาจากไวรัส แต่เป็นเพราะระบบภูมิคุ้มกันในร่างการของมนุษย์อ่อนแอลงเนื่องจากผลกระทบของการแผ่รังสี 5G

ช่อง YouTube ของ Yebo ซึ่งมีวีดีโอการกล่าวถึงเรื่องของสัญญาณ 5G ไว้โดยมีผู้ชมคลิปนี้มากกว่า 3.8 ล้านคน และมีผู้แชร์ออกไปทาง Facebook มากกว่า 270,000 ครั้ง โดยอ้างถึงข้อมูลจากผู้ที่ทำงานบนหอสัญญาณ 5G เขาเตือนผู้คนถึงภัยร้ายจากเทคโนโลยีดังกล่าว

วีดีโอที่เกี่ยวกับสัญญาณ 5G ว่าเป็นภัยร้ายยังมีอีกมาก โดยเฉพาะวีดีโอที่มียอดแชร์เป็นอันดับสองจากช่อง Be Inspired ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 6.45 ล้านคน โดยเปิดเผยว่าตั้งแต่พฤษภาคม 2019 เป็นต้นมา เขาได้รวบรวมคำพูดของเดวิด อิก นักทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดชาวอังกฤษไว้ โดยเขาบอกว่าสัญญาณ 5G คือมหันตภัยร้ายที่ยิ่งใหญ่กว่าเชอร์โนบิล รวมทั้งประโยคที่บอกว่า สัญญาณ 5G เลวร้ายยิ่งกว่าไวรัสโคโรน่าเสียอีก ทั้งสองประโยคถูกแชร์ต่อและถูกอ้างอิงในสื่อโซเชียลจำนวนมากในช่วงเดือนมีนาคม 2020

วีดีโอจาก Be Inspired เป็นเหมือนระเบิดลูกใหญ่ที่ทำให้ผู้คนสนใจในเรื่องทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าวท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัส ยิ่งทำให้มีคนเชื่อเรื่องทั้งหมดมากขึ้นไปอีก ในปัจจุบันวีดีโอที่มียอดผู้ชมมากที่สุดที่เกี่ยวกับการต่อต้านสัญญาณ 5G บน YouTube มาจากวีดีโอภาษารัสเซียที่มีชื่อวีดีโอว่า “นี่คือเหตุผลว่าทำไม 5G เป็นสิ่งที่แสนอันตราย” ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาและมียอดผู้ชมมากกว่า 1.2 ล้านครั้ง

ช่องของ Last American Vagabond ทาง YouTube มีการเผยแพร่วีดีโอที่อ้างว่า การกักตัวจากไวรัสโคโรน่าเป็นแผนการร้ายของทางรัฐบาลที่ใช้ในการติดตั้งเทคโนโลยี 5G ในโรงเรียนของรัฐแคลิฟอร์เนียอย่างลับ ๆ โดยพวกเขาเชื่อกันว่า นี่เป็นเพียงแค่ระยะที่สองของแผนการลดจำนวนประชากรโลกเท่านั้น

มีวีดีโอรูปแบบนี้และความเห็นจำนวนมากทางสื่ออื่นเช่น Facebook ที่เชื่อมโยงเรื่องราวจากอันตรายของ 5G เข้ากับไวรัสโคโรน่า จะเห็นได้ว่า 8 ใน 10 โพสต์เกี่ยวกับสัญญาณ 5G จะเป็นวีดีโอหรือบทความที่เตือนเรื่องภัยร้ายจากสัญญาณ 5G และจับมาให้เข้ากันกับการแพร่ระบาดในปัจจุบัน

เมื่อไม่นานที่ผ่านมา นักทฤษฎีสมคบคิดอย่างอเล็ก โจนส์ พยายามเชื่อมโยงเรื่องของ 5G เข้ากับทฤษฎี QAnon ที่อ้างอิงถึงกลุ่มชนชั้นนำที่กำลังวางแผนร้าย โดยเขาอ้างว่า ในวันที่ 1 เมษายน 2020 จะเป็นจุดเริ่มต้นของ “10 วันแห่งความมืดมิด” ทั้งไฟฟ้า อินเตอร์เน็ตและสื่อโซเชียลทั้งหมดจะหลุดการเชื่อมต่อทั่วทั้งโลก (ซึ่งแน่นอนว่าไม่จริงจากวันที่เราอ่านบทความ)

กลุ่มของ QAnon ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะมาสนับสนุนเรื่องของพวกเขาได้เลย พวกเขาต่างจับเรื่องหลายเรื่องมารวมกัน เช่นการที่ประธานาธิบดีพยายามก่อสงครามลับกับรัฐที่มีความเชื่อที่ตรงข้ามกับเขา มีการแชร์ภาพของบทความเกี่ยวกับผลกระทบด้านสุขภาพจากรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งพวกเขาอ้างว่ามันคล้ายกับอาการของไวรัสโควิด-19 (ซึ่งมันไม่ใช่) และการที่พวกเขาบอกว่าที่อิตาลีมีอัตราการติดเชื้อสูง ก็เพราะประเทศอิตาลีใช้สัญญาณ 5G มากที่สุดในฝั่งยุโรปตะวันตก

เจ้าของโรงแรมชาวอังกฤษจอห์น แมปปิน ผู้ที่ปักธง QAnon บนโรงแรมปราสาทของเขา โดยเขาได้โพสต์ว่า เขาอยากให้องค์การอนามัยโลกออกมาสืบสวนการเชื่อมโยงระหว่างสัญญาณ 5G และไวรัสโคโรน่า แมปปินยังแชร์วีดีโอเดียวกันกับวูดดี ฮาร์เรลสัน ซึ่งพวกเขาทั้งสองคนเชื่อว่ามันเป็นวีดีโอที่ประชาชนจีนทำลายหอสัญญาณ 5G ทั้งที่จริงแล้วมันเป็นวีดีโอที่บันทึกการประท้วงที่เกิดในฮ่องกง โดยแมปปินยังแท็กท่านประธานาธิบดีทรัมป์อีกด้วย

เป็นยังไงบ้างครับกับทฤษฎีทางฝั่งตะวันตกเรื่องนี้ ซึ่งจับเรื่องราวที่ไม่น่าจะข้องเกี่ยวกันสักเท่าไหร่มารวมกันได้ แล้วคุณล่ะคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องดังกล่าว บอกเราได้ในคอมเมนต์

ที่มา : buzzfeednews | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ