ต้นกำเนิดความเชื่อ Black Knight ยานต่างดาวที่โคจรรอบโลกมาเป็นหมื่นปี

ยังไม่ชัดเจนว่าทฤษฎีสมคบคิดของดาวเทียม Black Knight เริ่มต้นได้อย่างไร แต่บางคนกลับอ้างว่าพวกเขามีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับ UFO ลึกลับลำนี้ที่โคจรรอบโลกมาเป็นหมื่นปีแล้ว และ NASA ก็ปกปิดข้อมูลนี้เอาไว้ไม่ให้ใครรู้

ในปี 2017 นักทฤษฎีสมคบคิดอ้างว่ากลุ่มอิลลูมินาติได้ยิง UFO ตก พวกเขาเรียกวัตถุนั้นว่า “ดาวเทียม Black Knight” พร้อมระบุว่ามันโคจรรอบโลกมานานกว่า 13,000 ปีแล้ว

ซึ่งดูจะเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนนัก แต่ก็เป็นข้อมูลล่าสุดที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดที่มีมาตั้งแต่ปี 1973

หลักฐานยืนยันว่ายานอวกาศนอกโลกโคจรรอบโลกมาตั้งแต่ยุคหิน บางคนเชื่อว่า NASA และรัฐบาลต่าง ๆ พยายามปกปิดเรื่องนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้วิเคราะห์พร้อมให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นซากขยะอวกาศและสัญญาณวิทยุมากกว่า

ผู้ที่เชื่อในทฤษฎีนี้ยืนยันว่าหลักฐานการมีอยู่ของดาวเทียม Black Knight เกิดขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 เมื่อนิโคลา เทสลาได้รับสัญญาณวิทยุแปลกประหลาดหลายชุดที่ห้องปฏิบัติการของเขาในเมืองโคโลราโด สปริงส์ และนำไปสู่ภาพถ่ายวัตถุประหลาดลึกลับของ NASA ในปี 1998

หลักฐานเบื้องต้นของดาวเทียม Black Knight

หลักฐานเกี่ยวกับดาวเทียม Black Knight มาจากนักทฤษฎีที่รวบรวมข้อมูลของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ต่อเนื่องกันในตลอดช่วง 100 ปีที่ผ่านมา

ซึ่งข้อมูลหลายอย่างถูกเพิ่มเข้าไปภายหลัง ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่นักฟิสิกส์ชื่อดังอย่างนิโคลา เทสลาค้นพบสัญญาณวิทยุมาจากนอกโลกโดยบังเอิญในปี 1899

ขณะที่เทสลากำลังทำงานอยู่ในห้องปฏิบัติการในโคโลราโด เขาได้พัฒนาอุปกรณ์วิทยุคลื่นความถี่สูง จากนั้นเขาได้รับชุดสัญญาณวิทยุโดยไม่คาดคิด เขาตีความว่านี่เป็นชุดของรหัสตัวเลขและเชื่อว่าส่งมาจาก “สิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาด” บนดาวอังคาร

ผู้ที่คลั่งไคล้ในเรื่องดาวเทียม Black Knight ยืนกรานว่าเทสลาเข้าใจผิด และสัญญาณที่เขาได้รับนั้นคือสัญญาณที่มนุษย์ต่างดาวบนดาวเทียมพยายามสื่อสารกับมนุษย์โลกเป็นครั้งแรก

นักทฤษฎีสมคบคิดอ้างว่ามีหลักฐานอื่นอีกในปี 1927 เมื่อวิศวกรชาวนอร์เวย์ เยอร์เกิน ฮัลส์ค้นพบสิ่งที่น่าตกใจขณะทำการทดลองส่งสัญญาณวิทยุ มีเสียงสะท้อนของคลื่นวิทยุกลับมา 3 วินาทีหลังจากเขาส่งสัญญาณวิทยุออกไป ตั้งแต่นั้นมาสัญญาณเหล่านี้ถูกเรียกว่า “เสียงสะท้อนที่หน่วงเป็นเวลานาน (Long Delayed Echoes)” แต่ไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ชัดเจนนัก

จากนั้นในปี 1954 เดอะนิวยอร์กไทมส์ได้ตีพิมพ์คำกล่าวอ้างของ โดนัลด์ คีย์โฮ นักวิจัยยูเอฟโอว่า แหล่งข่าวเพนตากอนยืนยันการมีอยู่ของ “ดาวเทียมธรรมชาติ” สองดวงที่โคจรรอบโลก สำนักงานวิจัยอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เกณฑ์ทีมนักดาราศาสตร์เพื่อค้นหาดาวเทียมใกล้โลก แต่หัวหน้าของโครงการปฏิเสธว่าไม่เคยค้นพบดาวเทียมใด ๆ

ทฤษฎีสมคบคิดเติบโตขึ้นพร้อมการปกปิดของรัฐบาล

ผู้ที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดพิจารณาบทความของปี 1954 และปฎิเสธหลักฐานการมีอยู่ของดาวเทียม black Knight รวมถึงการปกปิดของรัฐบาลด้วย การปล่อยดาวเทียมจริงของรัสเซียในปี 2500 และของสหรัฐอเมริกาในปี 2501 ยิ่งทำให้เกิดความสับสนมากขึ้นไปอีก

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1960 กองทัพเรือสหรัฐตรวจพบ “วัตถุสีดำที่ร่วงหล่น” บนเรดาร์ ซึ่งกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า นั่นเป็นเพียงเศษซากขยะอวกาศจากดาวเทียม Discoverer ของกองทัพอากาศ ต่อมาเอกสารเพนตากอนเปิดเผยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก และวัตถุดังกล่าวเป็นดาวเทียมสอดแนมของอเมริกาที่ส่งไปสอดแนมรัสเซีย

ในปีถัดมา Jacques Vallée ผู้ศึกษาเกี่ยวกับ UFO ชื่อดังอ้างว่าเขาได้บันทึกภาพ UFO ที่โคจรถอยหลังรอบโลก จนกระทั่งภาพนั้นถูกยึดไป ยิ่งทำให้ NASA ถูกกล่าวหามากยิ่งขึ้นว่าปิดบังอะไรบางอย่างไว้

จากนั้นในปี 1973 นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ Duncan Lunan ได้ริเริ่มทฤษฏีที่เชื่อมโยงเหตุการณ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน Lunan กล่าวกับนิตยสาร Spaceflight ว่าเขาสามารถถอดรหัสข้อความและบอกได้ว่ามันคือคำสั่งจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวที่อาศัยอยู่บนดาว “Epsilon Boötis”

ต่อมา Lunan ได้กลับคำในภายหลังว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นผิด และกล่าวอย่างหนักแน่นว่าเขาไม่ต้องการยุ่งกับเรื่องไร้สาระของดาวเทียม Black Knight อีก แต่ทฤษฎีสมคบคิดนี้ก็แพร่กระจายอยู่ในแวดวงผู้ที่เชื่อเรื่อง UFO อยู่ดี

จนกระทั่งในปี 1998 หลังจากที่โลกอินเทอร์เน็ตถือกำเนิดขึ้น ผู้ที่เชื่อทฤษฎีนี้ก็พร้อมที่จะไม่เชื่อสิ่งที่ NASA บอกพวกเขาอีกต่อไป พวกเขาเลือกที่จะค้นคว้าข้อมูลและเชื่อในสิ่งที่พวกเขาอยากเชื่อเท่านั้น

การหักล้างความเชื่อเกี่ยวกับดาวเทียม Black Knight 

องค์การ NASA มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับรูปภาพที่เป็นปัญหา เนื่องจากสถานีอวกาศนานาชาติกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ทาง NASA ได้ทำภารกิจส่งกระสวยอวกาศขึ้นไปครั้งแรกเพื่อช่วยในการก่อสร้าง และได้นำส่งอุปกรณ์ขึ้นไปพร้อมกันด้วย รวมไปถึงผ้าคลุมอวกาศกันความร้อน 4 ผืนเพื่อใช้เป็นเกราะป้องกันความร้อนของสถานีอวกาศ แต่ผ้าคลุมผืนหนึ่งหลุดออกมาระหว่างขนส่งและล่องลอยไปในอวกาศ

ในช่วงเวลานั้นนักบินอวกาศได้ถ่ายภาพเอาไว้นับไม่ถ้วน ซึ่งในจำนวนนั้นก็คือภาพถ่ายอันโด่งดัง ซึ่งเป็นภาพของผ้าคลุมในมุมย้อนแสงจึงทำให้เห็นเป็นวัตถุสีดำดูลึกลับลอยอยู่ในอวกาศเหนือโลกของเราที่ปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆ วัตถุนี้ถูกตั้งชื่อว่า 025570 ซึ่งมันตกจากวงโคจรในอีกไม่กี่วันต่อมาและถูกเผาไหม้ไปตลอดกาล

เซอร์เก คริคาเลฟ นักบินอวกาศชาวรัสเซียคือหนึ่งในผู้ที่ถ่ายภาพ Black Knight ได้ และเขาทราบดีว่าภาพถ่ายของเขาจะทำให้ผู้คนเข้าใจผิด ส่วนอดีตวิศวกรนาซ่าอย่าง เจมส์ โอเบิร์ก ก็รู้ดีถึงความแตกต่างระหว่างมืออาชีพที่ออกไปสู่ห้วงอวกาศกับคนที่ได้แต่วิพากษ์วิจารณ์ตามจินตนาการของพวกเขา

“ก่อนออกจากนาซ่า ผมได้นำทีมออกแบบวิถีวงโคจรออกทำภารกิจ” เจมส์กล่าว “ทุกอย่างมันสอดคล้องกับสิ่งที่ผมเรียนรู้ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติการบินในอวกาศมาตลอดชีวิต เหตุใดต้องใช้ผ้าคลุม เหตุใดผ้าคลุมจึงหลุดออกมา และเหตุผลมันถึงลอยออกไปแบบนั้น”

“ความแตกต่างคือ สำหรับคนทั่วไป ของพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่น่าพิศวงสำหรับผู้ที่คุ้นเคยแต่สิ่งที่อยู่บนโลก แต่ไม่เคยไปสัมผัสอวกาศเลย”

การส่งสัญญาณวิทยุที่แปลกประหลาดของเทสลายังได้รับการอธิบายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์เห็นพ้องต้องกันว่าเขาน่าจะตรวจพบสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่ส่งออกมาจากพัลซาร์ ดาวนิวตรอนที่ถูกค้นพบในช่วงปี 1960

แน่นอนว่าไม่มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า Black Knight คือวัตถุชนิดใดกันแน่ สำหรับผู้ที่สนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดเรื่อง Black Knight ก็ยังคงเชื่อว่ามันเป็นยานจากต่างดาวต่อไป ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีคำอธิบายหรือมีหลักฐานที่ยืนยันการมีอยู่ของมันได้เลยก็ตาม

ที่มา : allthatsinteresting| เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ