ทฤษฎีประหลาดๆ มักเกิดขึ้นให้เราเห็นบนโลกออนไลน์อยู่เสมอ และอีกทฤษฎีหนึ่งที่ถูกพูดถึงมายาวนาน นั่นก็คือ เอ็มมิเน็ม แร็ปเปอร์หนุ่มชื่อดังที่เรารู้จักกันอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่ตัวเขาอีกต่อไป เอ็มมิเน็มตัวจริงได้เสียชีวิตไปแล้ว และที่คุณเห็นอยู่ตอนนี้คือ หุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่มาทำหน้าที่แทนตัวจริง แต่ก่อนจะไปฟังทฤษฎีประหลาดนี้ เรามารู้จักแร็ปเปอร์ในตำนานคนนี้กันคร่าวๆ ดีกว่า
เอ็มมิเน็ม (Eminem) หรืออีกตัวตนหนึ่งก็คือ สลิม เชดี (Slim Shady) แร็ปเปอร์ชาวอเมริกันที่โด่งดังมากๆ เมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา เขาคือหนึ่งในศิลปินที่มียอดจำหน่ายอัลบั้มสูงที่สุดในโลก และเป็นศิลปินที่มียอดจำหน่ายผลงานเพลงสูงสุดในคริศทศวรรษที่ 2000 เคยได้รับรางวัลแกรมมี่ จนทำให้เราเป็นศิลปินคนแรกที่ได้รับรางวัลในสาขาอัลบั้มแร็ปยอดเยี่ยม และนี่อาจเป็นแร็ปเปอร์ที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้
กลับมาที่ทฤษฎีประหลาดนี้ ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ La Guía Del Varón ในสเปนที่ระบุว่า เอ็มมิเน็มตัวจริงเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2006 จากสาเหตุการเสพยาเกินขนาด แต่ด้วยความที่เขาเป็นซุปเปอร์สตาร์ที่ทำเงินได้มหาศาล ทางต้นสังกัดจึงแทนที่เขาด้วยหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง แต่บางคนอ้างว่า จริงๆ แล้วแร็ปเปอร์ชื่อดังได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1999 ด้วยซ้ำไป
ส่วนข้อพิสูจน์ล่ะ ? ทางเว็บไซต์ได้มีการเปรียบเทียบภาพที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของโครงสร้างใบหน้าของเอ็มมิเน็มในช่วงก่อนปี 2006 เปรียบเทียบกับภาพที่ใหม่กว่า เพื่อให้เห็นว่าใบหน้าของเขาเปลี่นยแปลงไปแค่ไหน โดยเฉพาะกระดูกโหนกแก้มที่ชัดขึ้น โคนผมที่ต่ำลง รวมไปถึงขากรรไกรที่ผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
นี่คือเอ็มมิเน็มในปี 2001
เขาเปลี่ยนไปจริงหรือเปล่า ?
ทฤษฎีนี้ยังชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา แร็ปเปอร์หนุ่มได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสงสัย ตั้งแต่เนื้อเพลงที่เปลี่ยนไป รวมไปถึงสไตล์การแต่งตัวที่ไม่เหมือนเดิม ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปในทางที่ดาร์คขึ้นกว่าเดิม
ผู้คิดค้นทฤษฎีกล่าวว่า “หลังจากกลับมาจากการบำบัด เขาก็เปลี่ยนไป ใบหน้าของเขาดูอ่อนเยาว์มากขึ้น และสไตล์ของเขาก็ดูดาร์คขึ้น นอกจากนั้นสไตล์การแต่งตัวก็เปลี่ยนไป และชื่นชอบในการใส่เสื้อผ้าสีดำ”
และนี่ก็คือทฤษฎีที่สุดโต่งที่เกิดขึ้นกับคนดังหลายๆ คนที่ถูกคิดว่าเสียชีวิตไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์โคลนนิ่ง ซึ่งเอ็มมิเน็มเองก็เป็นหนึ่งในรายชื่อดังกล่าว แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่าทฤษฎีนี้เป็นจริงแต่อย่างใด แถมมันยังบ้าบอหลุดโลกจนยากที่จะเชื่อได้อีกด้วย
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ
ที่มา : | เรียบเรียงโดย เพชรมายา