เมื่อชาวตะวันตกเริ่มปีนเทือกเขาหิมาลัยในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ก็มีรายงานการพบเห็นเยติเพิ่มสูงขึ้น
หนึ่งในหลักฐานที่โด่งดังมากที่สุดชิ้นหนึ่งเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงปี 1951 เมื่อ เอริก ชิปตัน และ ดร.ไมเคิล วอร์ด ได้ขึ้นไปสำรวจเส้นทางจากเนปาลไปยังยอดเขาเอเวอเรสต์ พวกเขาได้พบรอยเท้าประหลาดที่ระดับความสูงระหว่าง 15,000 ถึง 16,000 ฟุต
ในช่วงเวลาดังกล่าว ยอดเขาเอเวอเรสต์ยังไม่มีผู้คนพลุกพล่านเหมือนในปัจจุบัน และรอยเท้าที่พวกเขาพบก็ดูไม่ใช่รอยเท้าของมนุษย์ เนื่องจากมีขนาดที่กว้างกว่ามาก หัวแม่เท้ามีลักษณะต่ำและใหญ่กว่าของมนุษย์
และถึงแม้ว่าจะเป็นรอยเท้ามนุษย์จริง แต่พวกเขาเดินเท้าเปล่าบนหิมะท่ามกลางอุณหภูมิเยือกแข็งได้อย่างไร โดยรอยเท้าดังกล่าวมีความลึกลงไปในหิมะยิ่งกว่ารอยเท้าของมนุษย์ปกติทั่วไปอีกด้วย
ด้วยความงุนงง พวกเขาเดินตามรอยเท้านี้ไปตามธารน้ำแข็งประมาณ 1 ไมล์ และหยุดตั้งค่ายพักแรมในคืนนั้น ไม่กี่วันต่อมา เพื่อนร่วมทีมของพวกเขาอีก 2 คน ได้ช่วยกันร่วมตรวจสอบรอยเท้าที่น่าสงสัยนี้
ปัญหาคือ เมื่อเวลาผ่านไป รอยเท้าดังกล่าวเริ่มผิดเพี้ยนไปจากเดิมเนื่องจากแสงอาทิตย์ที่ทำให้หิมะละลาย แต่พวกเขาก็ยอมรับว่ามันเป็นรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่สามารถอธิบายได้
เมื่อคณะสำรวจกลับถึงบ้านที่อังกฤษ ภาพถ่ายของ เอริก ชิปตัน ได้กลายเป็นที่ถูกพูดถึงไปทั่วและถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับบรรดานักวิทยาสัตว์ลึกลับ นักล่าสัตว์ประหลาด และนักปีนเขา เพราะนี่คือหลักฐานเดียวที่พิสูจน์ว่า เยติในตำนานอาจมีอยู่จริงบนเทือกเขาหิมาลัย แม้แต่ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องเยติก็ยังยอมรับว่าภาพถ่ายนั้นแปลกมาก หากรอยเท้านั้นมีอยู่จริง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นักเดินทางจำนวนมากพยายามขึ้นไปบนเทือกเขาหิมาลัยเพื่อค้นหาว่า สิ่งมีชีวิตที่สร้างรอยเท้าในภาพถ่ายของชิปตันมีอยู่จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครพบหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวที่พิสูจน์การมีอยู่ของเยติ
สิ่งนี้นำไปสู่ข้อกล่าวหาที่ว่า ชิปตันสร้างเรื่องหลอกลวงทั้งหมดขึ้นเอง แต่อีกหลายคนก็เชื่อว่า ชิปตันและทีมสำรวจไม่มีเหตุผลที่จะมาสร้างเรื่องโกหกเหล่านี้ขึ้น
ดร.ไมเคิล วอร์ด หนึ่งในทีมสำรวจผู้เป็นแพทย์ไม่ได้เชื่อ 100% ว่ารอยเท้าดังกล่าวเป็นของเยติ ถึงแม้ว่ามันจะแปลกแต่ก็มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจเกิดจากบางสิ่งที่เราสามารถอธิบายได้
หนึ่งในทฤษฎีที่น่าสนใจก็คือ รอยเท้าดังกล่าวเป็นของชาวทิเบตท้องถิ่นที่มีรูปเท้าผิดปกติ พวกเขาอาศัยอยู่ในที่ห่างไกล ปราศจากสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน เท้าที่ผิดรูปบางครั้งติดตัวพวกเขามาตั้งแต่เกิดแต่ก็ไม่ได้ขัดขวางการใช้ชีวิตประจำวันแต่อย่างใด
แต่ก็ยังมีข้อสงสัยที่ว่า พวกเขาสามารถเดินเท้าเปล่าฝ่าหิมะที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 15,000 ฟุตได้อย่างไร เท้าของพวกเขาจะไม่ถูกหิมะกัดอย่างนั้นหรือ
ที่มา: curiousarchive