ที่มาของ Stranger Things มาจากทฤษฎีสมคบคิดฐานทัพเก่าและโครงการลับของรัฐบาล

ซีรีย์เรื่องเยี่ยม Stranger Things ที่โด่งดังจากผลงานการสร้างของพี่น้องดัฟเฟอร์ นำเสนอเรื่องราวที่ล้ำจินตนาการด้วยการนำเสนอความสยองในทฤษฎีสมคบคิดจากอดีตฐานทัพทางทหาร

เห็นได้ชัดว่าในโชว์ยอดฮิตของ Netflix ได้แสดงถึงจินตนาการที่เหนือชั้น หลายคนอาจคิดอยากพบร่องรอยฟันและน้ำลายของเดโมกอร์กอนที่แม้ว่ามันจะน่ารักในตอนยังเล็ก แต่มันก็เติบโตได้อย่างรวดเร็วและน่าขนลุกอย่างมาก

นอกเหนือจากเรื่องมอนสเตอร์ เรื่องราวของทฤษฎีสมคบคิดก็ทำให้หลาย ๆ คนสนใจว่ามันอาจจะเป็นไปได้ที่มันอาจจะเป็นจริงก็เป็นได้ ในขณะที่เมืองฮอว์กิ้น อินเดียน่าไม่ได้มีอยู่จริง ในการสัมภาษณ์ของนักแสดงเกเตน มาตาราซโซ (ดัสติน) ได้เผยว่าเรื่องราวที่เกิดมาจากสถานที่จริง โดยเขาได้เผยว่ามันคือสถานที่ในมอนทอก นิวยอร์กที่ถูกเรียกว่าค่ายวีรบุรุษ มันมีข่าวลือของหน่วยงานลับที่ทำการทดลองกับมนุษย์เพื่อสู้ศึกสงครามเย็น

ในความจริง ตอนที่ Netflix ได้เลือกพี่น้องดัฟเฟอร์ ชื่อของโชว์นี้คือมอนทอก ซึ่งค่ายวีรบุรุษคือฐานทัพทางทหารเดิมที่ตอนนี้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติค่ายวีรบุรุษและเป็นสถานที่ในการพักผ่อนของประชาชน ในอดีตมันเคยมีข่าวลือมากมายทั้งการลักพาตัว ควบคุมจิตใจและเดินทางข้ามเวลา ภายใต้โครงการ ‘โปรเจกต์มอนทอก’

นักสร้างภาพยนต์ คริสโตเฟอร์ กาเรนทาโน สร้างภาพยนต์ชื่อ Montauk Chronicles ที่นำเสนอเรื่องราวของค่ายนี้จากเรื่องราวแปลก ๆ จำนวนมากรวมทั้งเรื่องราวของคนที่เคยโดนบังคับให้เข้าร่วมในการทดลองลับช่วงปี 1970

ทางเวบไซต์ได้อธิบายไว้ว่า: อัลเฟรด เบียเลค สจ๊วด สเวิร์ดโลว์และเพรสตัน นิโคล ได้บอกเล่าเรื่องราวของการทดลองกับคนนับพันตลอดช่วงเวลาเกือบ 10 ปี ทั้งการลักพาตัว ฆาตรกรรม ทรมาน เดินทางข้ามเวลา ควบคุมจิตใจและการติดต่อกับนอกโลกที่เกี่ยวข้องกับค่ายวีรบุรุษนี้ โดยสเวิร์ดโลว์ยืนยันว่าในปี 1970 ตอนเขาอายุ 13 ปี เขาถูกลักพาตัวและมีเด็กจากที่ต่าง ๆ อีกมากที่ถูกนำตัวมาทดลอง โดยเน้นที่กรรมพันธ์พิเศษเพื่อการทดลองขั้นสูง

กองทัพได้ปิดตัวที่นี่ในปี 1947 และโอนย้ายไปเป็นของกองทัพอากาศในปี 1951 เรื่อยมาจนถึงปี 1982
พื้นที่ถูกบริจาคให้กับอุทยานแห่งชาตินปี 1984 แต่สิ่งก่อสร้างทางทหารยังคงอยู่ในอุทยานแห่งชาติค่ายวีรบุรุษ หนึ่งในอาคารที่มีชื่อเสียงคือหอเรดาร์ในยุคสงครามเย็น ซึ่งในตอนนั้นใช้เป็นสถานีหลักในการเชื่อมต่อสถานีย่อยเพื่อการสอดส่องกิจกรรมต่างของทางโซเวียต

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับค่ายวีรบุรุษก็คือการหอเรดาร์นี้ใช้ในการอ่านและควบคุมจิตใจผู้คนด้วยคลื่นความถี่จากระบบเรดาร์ โดยกาเรนทาโนผู้ที่เติบโตในพื้นที่ได้พูดเรื่องของประวัติศาสตร์ของหอคอยนี้ในช่องประวัติศาสตร์ โดยบอกว่าทุก ๆ 12 วินาทีหอเรดาร์จะหมุนและเหล่าสัตว์ป่าจะหวาดกลัวและผู้คนจะเริ่มปวดหัวและฝันร้าย และผู้คนที่สวมอุปกรณ์ไฟฟ้าจะควบคุมตัวเองไม่ได้

ความคิดเรื่องรัฐบาลพยายามควบคุมจิตใจของประชาชนมันช่างน่ากลัวอย่างมากและมันยิ่งสร้างความเชื่อให้เรื่องนี้เข้าไปอีกเมื่อหอเรดาร์ยังคงปรับทิศทางในทุก ๆ วันจนถึงปี 2011 ทั้งที่มันควรหยุดทำงานไปแล้วนับตั้งแต่ที่กองทัพอากาศได้ออกจากสถานที่นี้ไป

ใน Whalebone Mag ได้เผยถึงการเดินทางของเขาและเพื่อนในค่ายนี้เมื่อคริสมาสต์ ซึ่งเขาได้บรรยายว่ามีหลุมมากมายทั่วทั้งค่ายนี้ ทำไมถึงมีที่ว่างมากมายทั่วพื้นที่และยังมีประภาคารอีก แบบพิมพ์เขียวไม่แสดงอะไรใต้พื้นดินเลยแต่เห็นได้ชัดว่ามีอุโมงค์ใต้ดินอยู่

นักสร้างภาพยนต์อย่างกาเรนทาโนยังบอกอีกว่ามีการเชื่อมโยงของอุโมงค์โดยอธิบายว่า แม้ทางการจะบอกว่าไม่มีอะไรใต้ดิน แต่มันน่าจะมีอะไรซ่อนอยู่เป็นแน่

ใน Montauk Chronicles คนท้องถิ่นไบรอัน มินนิคได้เผยภาพห้องใต้ดินและหลักฐานว่ามนุษย์เคยใช้งานที่นี้ตั้งแต่อดีตจนมันปิดทำการ พร้อมบอกอีกว่ามีสิ่งแปลกประหลาดและน่าสนใจที่เขาได้พบ ทั้งบันทึกของการสั่งอาหารมาที่ค่ายนี้ในปลายยุค 80 มากถึง 2 ล้านกว่าบาทต่อเดือนเลยทีเดียวซึ่งมันมากเกินไปสำหรับฐานนี้

เขายังเรียกผู้เชี่ยวชาญพร้อมอุปกรณ์วัดไฟฟ้าและพบว่ามีการอ่านค่าที่ไม่ปกติซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ามีบังเกอร์ที่หนาแน่นฝังไว้ใต้ดินลึกกว่า 20 ฟุต

เจมส์ได้เล่าถึงหนึ่งในบังเกอร์ที่เขาได้เข้าไปว่ามันมีสัญลักษณ์ห้ามเข้าอยู่ และมันมีรูที่กำแพงที่เข้าได้อย่างง่ายดาย โดยเขาอธิบายว่าข้างในช่างใหญ่มาก เพดานมีสามด้านแต่ละด้านของทางเดินมีกรงขนาดใหญ่พร้อมประตูและกรงขนาดเล็กด้านใน โดยหนึ่งในนั้นมีเก้าอี้โลหะซึ่งเป็นแบบของหมอฟันโดยมีที่ยึดจับอยู่ซึ่งน่าขนลุกมาก และยังมีบ้านอีกหลังซึ่งเป็นบ้านกรดที่อาจจะใช้ทดสอบ LSD กับมนุษย์โดยแต่ละห้องมีรูปแบบผนังที่แตกต่างกันไป

เพรสตัน นิโคลพร้อมผู้แต่งปีเตอร์ มูนได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับค่ายวีรบุรุษทีชื่อโครงการมอนทอก: การทดลองแห่งยุค โดยเขาได้อ้างว่าเขาเป็นนักวิศวกรไฟฟ้าที่ทำงานในมอนทอกและบอกว่ามีการสร้างเครื่องอ่านจิตใจขึ้นซึ่งมีการประมวลผลผ่านคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่

เทคโนโลยีนี้มีชื่อว่าเก้าอี้มอนทอก และแม้ว่าจะไม่มีเครื่องนี้อยู่อีกแล้ว แต่อาจเป็นไปได้ว่าเก้าอี้โลหะนี้อาจเป็นอันที่ใช้ในการนี้ ขณะที่เราไม่อาจรู้ความจริงที่เกิดขึ้นในค่ายวีรบุรุษได้ มันคงเป็นการดีกว่าถ้าพี่น้องดัฟเฟอร์ได้ทำผลงานอย่างดีเยี่ยมในทฤษฎีสมคบคิดครั้งนี้

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในมอนทอกก็ตาม แต่ดูเหมือนเหล่าเด็กใน Stranger Things จะได้เรียนรู้ถึงเรื่องราวบทสรุปเรื่องราวในปีที่สาม ‘ปีศาจไม่หยุดยั้ง; มันวิวัฒนาการ’

ที่มา : unilad | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ