เมื่อชายไร้บ้านถูกให้เงิน 3 ล้านเพื่อทดสอบว่าชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไร

ถ้าคุณได้รับเงินประมาณ 3 ล้านบาท คุณคิดว่าจะนำเงินนั้นไปทำอะไร แน่นอนว่าแต่ละคนก็มีเป้าหมายในการใช้เงินที่แตกต่างกันไป แต่ถ้าเรานำเงินก้อนนี้ไปมอบให้กับคนไร้บ้านสักคนล่ะ เขาจะนำมันไปใช้เปลี่ยนชีวิตตัวอย่างได้มากน้อยแค่ไหน

ย้อนกลับไปในปี 2005 ชายไร้บ้านคนหนึ่งนามว่า เท็ด โรดริก ได้รับกระเป๋าเอกสารใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยธนบัตรมูลค่า 20 ดอลลาร์และ 50 ดอลลาร์ใหม่เอี่ยมเต็มกระเป๋า ซึ่งรวมแล้วมันมีมูลค่าสูงถึง 100,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 3.3 ล้านบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน

แต่เงื่อนไขในการเป็นเจ้าของกระเป๋าใบนี้ก็คือ เท็ดต้องยอมให้ทีมงานถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของเขาเพื่อแลกกับจำนวนเงินทั้งหมดในกระเป๋า แน่นอนว่าเท็ดไม่ปฏิเสธ และนั่นจึงทำให้สารคดีเรื่อง Reveral of Fortune ได้ถูกถ่ายทำขึ้นและกลายเป็นที่ถกเถียงกันจนถึงทุกวันนี้

แนวคิดนี้เริ่มมาจากนักเขียนบทที่ชื่อว่า เวย์น พาวเวอส์ ที่ได้มีโอกาสทำงานกับคนไร้บ้านในลอสแองเจอลิสอยู่บ่อยครั้ง นั่นทำให้เขาเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมให้เงิน 1 ล้านดอลลาร์กับคนไร้บ้านสักคน เงินก้อนนี้จะพลิกชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้นได้หรือไม่ หรือมันจะทำให้พวกเขาแย่ลงกันแน่”

หลังจากได้รับเงินทุนสำหรับโครงการนี้จากเครือข่ายโทรทัศน์ Showtime (แต่งบของเขาถูกลดลงเหลือเพียง 100,000 ดอลลาร์) เวย์นก็ได้เสาะแสวงหาคนไร้บ้านผู้โชคดีจนได้พบกับ เท็ด ซึ่งเขาคิดว่าชายคนนี้เป็นคนดีที่สมควรได้รับโอกาสครั้งที่สองในชีวิตของเขา

เวย์นได้ซ่อนกระเป๋าเอกสารเอาไว้ในถังขยะใกล้ ๆ พร้อมกับข้อความที่ระบุว่า “คนไร้บ้านจะทำอย่างไรถ้าพบเงิน 100,000 ดอลลาร์”

เท็ดในวัย 45 ปีในขณะนั้นเป็นคนไร้บ้านมานานกว่า 2 ทศวรรษ เขาใช้ชีวิตรอดในทุก ๆ วันด้วยเงิน 20 ดอลลาร์ ที่ได้มาจากการเก็บกระป๋องและขวดไปขาย แต่หลังจากเขาพบกระเป๋า เขาคิดว่ามันอาจเป็นเงินสกปรกและเขาจะได้รับอันตรายถ้าเก็บมันไว้ ต่อมาเขาคิดว่ามันอาจเป็นเงินที่ใช้สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์และเขาคิดว่าต้องนำมันไปคืนเจ้าของ

จนกระทั่งเท็ดได้รับความมั่นใจจากทีมถ่ายทำสารคดีว่าเขาสามารถนำเงินไปใช้ได้ตามใจชอบ แต่แลกด้วยการเข้าไปสังเกตและบันทึกการใช้เงินในชีวิตประจำวันของเขา ที่น่าสนใจก็คือ เท็ดสามารถเรียกใช้ที่ปรึกษาทางการเงินที่ทางรายการเตรียมไว้ให้ได้ตลอดเวลา หรือเขาจะไม่สนใจก็ได้

แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร

เท็ดเริ่มต้นเปลี่ยนตัวเองอย่างช้า ๆ ด้วยการซื้อจักรยานใหม่และห้องในโรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ก่อนที่เขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้และใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยโดยไม่สนใจคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินของเขา

หลังจากที่เท็ดนำเงินไปช่วยเหลือเพื่อนไร้บ้านของเขาหลายคน เขาก็พบว่าตัวเองเริ่มได้รับความนิยมในหมู่สาว ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงคนที่เขาวางแผนจะแต่งงานด้วยคนหนึ่ง แต่ไม่นานนักเขาก็พบว่าตัวเองไม่พอใจความจอมปลอมเหล่านี้

“พวกผู้หญิงแห่กันมาเต็มไปหมด ผมมักจะเดินออกจากบาร์เพื่อหนีจากทุกสิ่ง แล้วพวกเธอก็ตามผมออกมาด้วย มันไม่ใช่เพราะผม มันเป็นเพราะเงิน ผมไม่ได้โง่นะ” เท็ดกล่าว

ต่อมาเขาพบว่าตัวเองได้รับการติดต่อจากครอบครัวที่เหินห่างไปนานที่ต้องการจะช่วยเหลือเขาจริง ๆ น้องสาวของเขาก็ช่วยหางานที่เขาชอบให้ทำ เช่นงานก่อสร้าง

อย่างไรก็ตาม เท็ดไม่ได้เห็นคุณค่าของคนที่ต้องการช่วยเขา เขาไม่ชอบคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของเขาอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงปัดข้อเสนอของน้องสาวและปฏิเสธที่จะพบที่ปรึกษาทางการเงินอีกต่อไป โดยเชื่อว่าผู้คนเหล่านี้แค่ต้องการเงินของเขาเหมือนกับคนส่วนใหญ่

ในที่สุด เท็ดก็เปิดเผยว่าเขาไม่มีความตั้งใจจะหางานทำ โดยเชื่อว่าเงิน 100,000 ดอลลาร์จะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต แต่เขาก็เริ่มใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยจ่ายเงิน 34,000 ดอลลาร์ไปกับรถกระบะกันใหม่ รวมถึงเช่าอะพาร์ตเมนต์หรูให้ตัวเอง

แค่เพียงไม่นานเงินที่เขามีก็หมดไป และเท็ดก็กลับมาอยู่ในจุดที่ตัวเองเคยอยู่ เขากลายเป็นคนไร้บ้านเช่นเดิมภายในเวลาเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น

ต่อมาเท็ดสารภาพว่าถึงแม้เขาจะไม่พอใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ยอมรับว่าอย่างน้อยเขาก็พอใจที่จะเป็นคนไร้บ้านอีกครั้ง

จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ถูกลอตเตอรีแจ็กพอตมักจะหมดเงินภายใน 3-5 ปี และในกรณีของเท็ดเองก็แทบไม่ต่างกัน

ที่มา : ladbible | เรียบเรียงโดย เพชรมายา