การตรวจ DNA ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์อย่างมากในโลกยุคปัจจุบันนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วมันจะช่วยไขข้อข้องใจเกี่ยวกับสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่พี่น้องว่ามีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดจริงหรือไม่ วันนี้เพชรมายาจึงมีเรื่องราวการตรวจ DNA ที่ไม่ธรรมดามาฝากให้ทุกคนอ่านกัน และมาลองตัดสินกันว่าเรื่องไหนที่คุณอ่านแล้วคิดว่ามัน “พีค” ที่สุด ในความคิดของคุณกันแน่
1. เพื่อนซี้ที่ DNA ตรงกัน
วอลเตอร์ แม็คฟาร์เลน และ อลัน โรบินสัน เป็นเพื่อนรักกันมานานกว่า 60 ปี ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกันในเมืองโฮโนลูลู รัฐฮาวาย ก่อนที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันมาตลอดจนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่
วันดีคืนดีทั้งคู่เกิดอยากจะค้นหาประวัติครอบครัวของตนเองตอนที่อายุ 70 ปี เนื่องจากอลันเป็นเด็กที่ถูกรับมาเลี้ยง และวอลเตอร์ก็ไม่รู้ว่าพ่อของเขาคือใคร ซึ่งหลังจากการตรวจ DNA กลับพบว่า ทั้งคู่มีแม่ผู้ให้กำเนิดคนเดียวกัน นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทั้งคู่มีความผูกพันที่ลึกซึ้งขนาดนี้
2. ลูกแท้ ๆ ที่ DNA ไม่ตรงกับแม่
ลีเดีย แฟร์ชายด์ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูก 2 คนประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก และเธอตัดสินใจที่จะขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล เธอถูกขอให้ตรวจ DNA เพื่อพิสูจน์ความเป็นแม่ที่แท้จริง แต่ผลตรวจกลับบอกว่าเด็ก ๆ ที่เธอให้กำเนิดเป็นเพียงแค่หลานเธอเท่านั้น
และเมื่อลีเดียคลอดลูกคนที่ 3 เธอตัดสินใจให้รัฐบาลตรวจ DNA ของเธอกับลูกทันที ซึ่งผลปรากฎว่าเธอเป็นป้าของทารก ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ก็พบว่า จริง ๆ แล้วลีเดียเป็น “ไคเมรา” นั่นหมายความว่า ร่างกายของเธอดูดซับ DNA ของน้องสาวฝาแฝดไว้ในขณะที่เธออยู่ในครรภ์ และ DNA ที่ปรากฏในตัวลูก ๆ ของเธอทุกคนก็เป็น DNA ของน้องสาวฝาแฝดเธอนั่นเอง
3. ความลับของครอบครัวตลอด 100 ปี ที่ไม่มีใครรู้
อลิซ โคลินส์ เพิลบุช ถูกระบุว่าเป็นหญิงอเมริกันเชื้อสายไอริช แต่ผลการตรวจ DNA ของเธอกลับเผยความจริงที่น่าประหลาดใจอย่างมาก เนื่องจากเธอมียีนที่ผสมผสานกันระหว่างชาวยิวเชื้อสายยุโรป, ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก
อลิซสงสัยในเรื่องนี้อย่างมาก เธอจึงพาทั้งครอบครัวของเธอไปตรวจ DNA และผลลัพธ์ก็ออกมาว่า พ่อของเธอไม่ได้เป็นลูกแท้ ๆ ของปู่กับย่า และที่ช็อคไปกว่านั้นก็คือ หลังจากสืบข้อมูลย้อนหลังไปก็พบว่า ตอนที่พ่อของเธอเกิด ทางโรงพยาบาลได้ส่งตัวเด็กให้ผิดครอบครัว
4. ลูกบุญธรรมที่บังเอิญเป็นพี่น้องกัน
ครอบครัว “แมแนเจส” มีลูก ๆ ทั้งหมด 3 คน แต่พวกเขาอยากได้ลูกคนที่ 4 ดังนั้นพวกเขาจึงรับ “เอเลียนา” เด็กหญิงชาวจีนวัย 10 ขวบมาเลี้ยง ซึ่งเด็กหญิงได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการผิดปกติทางสมอง
เมื่อกลับถึงบ้าน พวกเขาได้เล่าเรื่องนี้ให้กับครอบครัว “กัลเบียร์ส” ฟัง (ทั้ง 2 ครอบครัวสนิทกันเพราะไปโบสถ์ด้วยกัน) เนื่องจากครอบครัวกัลเบียร์สก็มีลูกบุญธรรมเป็นเด็กหญิงชาวจีนและมีอาการผิดปกติทางสมองเช่นเดียวกัน ด้วยความบังเอิญนี้ ทั้ง 2 ครอบครัวจึงตัดสินใจตรวจ DNA ของเด็กหญิงทั้ง 2 และผลตรวจก็สรุปว่าพวกเธอมีความเป็นพี่น้องกันถึง 99.9%
5. เด็กน้อยผู้ถูกทิ้งไว้ในตู้โทรศัพท์
ย้อนกลับไปในทศวรรษ 1950 เด็กทารกคนหนึ่งถูกพบในตู้โทรศัพท์ร้าง เด็กน้อยนอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มในลังกระดาษพร้อมกับมีขวดนมวางอยู่ใกล้ ๆ เขาถูกรับไปเลี้ยงและถูกตั้งชื่อว่า สตีฟ เดนนิส โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงคือใคร
หลังเวลาผ่านไปกว่า 60 ปี ลูก ๆ ของสตีฟเริ่มสนใจว่าบรรพบุรุษของพวกเขาคือใคร สตีฟจึงนำผลการตรวจ DNA ของเขาไปลงทะเบียนค้นหาในเว็บไซต์ Ancestry จนสามารถติดตามน้องสาวต่างบิดาได้ และเธอก็เล่าถึงแม่ผู้ให้กำเนิดซึ่งปรากฏว่าตอนนี้แม่ของสตีฟมีอายุ 85 ปีแล้ว
แม่เล่าว่าเธอคลอดสตีฟตอนอายุ 18 ปี พ่อของเขาสัญญากับเธอว่าจะแต่งงานด้วยแต่สุดท้ายก็ทิ้งไป ซึ่งเธอไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้นำสตีฟไปทิ้งไว้ที่ตู้โทรศัพท์
6. ชาวอังกฤษที่มียีนอเมริกันพื้นเมือง
ดอรีน ไอเชอร์วูด และ แอน ฮอลล์ 2 สาวชาวอังกฤษต้องประหลาดใจอย่างมาก หลังพบว่ายีนของพวกเธอมีเชื้อสายของชาวอเมริกันพื้นเมืองแท้ ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีบรรพบุรุษของพวกเธอคนไหนเดินทางไปยังอเมริกาสักคนเดียว ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ทราบว่า พวกเธอเป็นลูกหลานของชาวอเมริกันพื้นเมืองที่ถูกนำตัวมายังสหราชอาณาจักรเมื่อหลายร้อยปีก่อน
7. ลูกสาวที่เกิดจากการบริจาคสเปิร์ม
เคลลี โรว์เล็ตต์ หญิงสาวที่ตระหนักดีว่า เธอไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ทางสายเลือดกับพ่อของเธอ เนื่องจากเธอเกิดมาจากการบริจาคสเปิร์ม แต่เรื่องนี้กลับมีลับลมคมในมากกว่านั้น และเป็นสิ่งที่เธอรับไม่ได้อย่างแรง
เคลลีพบว่า ในอดีตพ่อแม่ของเธอทำงานในกระบวนการนี้ร่วมกับ นพ. เจอรัลด์ มอร์ไทเมอร์ แต่เขากลับใช้สเปิร์มของตัวเองในการทดลอง นั่นส่งผลให้ในทางเทคนิคแล้ว นพ.เจอร์รัลด์ ก็คือพ่อของเคลลี ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เคลลีตัดสินใจยื่นฟ้องทุกคนตั้งแต่ นพ.เจอรัลด์, ภรรยาของเขา และทีมงานแพทย์ทั้งหมดในขณะนั้น
8. น้องสาวที่พลัดพรากกันมานาน
ริช โบเดเกอร์ เด็กชายจากลาสเวกัสที่ถูกรับเลี้ยงในปี 1968 และเขาต้องการรู้ว่าพ่อแม่แท้ ๆ ของเขาคือใคร เขาส่ง DNA ตัวเองไปตรวจสอบยังบริษัทหนึ่ง และผลลัพธ์ระบุว่า DNA ของเขามีความเกี่ยวข้องกับบุคคลหนึ่งในฐานข้อมูลของบริษัท
บุคคลดังกล่าวถูกระบุว่าเป็น “หลานสาว” ของริช แต่เขารู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ และเมื่อผู้หญิงดังกล่าวเดินทางมาหา ทั้งคู่ก็พบว่า จริง ๆ แล้วเธอคือน้องสาวต่างบิดามารดาที่พลัดพรากกันมานานกว่า 15 ปี
9. สาวเม็กซิกันที่ไม่ได้มีเชื้อสายเม็กซิกัน
แอนเดรีย รามิเซ ใช้ชุดตรวจสอบ DAN เพื่อต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติเชื้อสายเม็กซิกันของเธอ แต่ผลการตรวจกลับทำให้เธอสับสน เพราะเธอไม่ได้มีเชื้อสายเม็กซิกันแม้แต่น้อย แถมผู้ชายที่เธอเรียกว่าพ่อไม่ได้เป็นพ่อแท้ ๆ ของเธอด้วยซ้ำไป
แอนเดรียเริ่มค้นหาในฐานข้อมูลของ 23andMe เพื่อดูว่าจะมีใครบ้างที่มี DNA ตรงกับเธอ และในที่สุดเธอก็พบว่าเธอมีพี่สาวกับพี่ชายที่ต่างมารดากัน
สุดท้าย เธอก็พบว่าพ่อแม่ของเธอใช้การบริจาคสเปิร์ม และพี่สาวกับพี่ชายที่เธอพบก็ได้รับการบริจาคสเปิร์มมาจากคลินิกเดียวกัน และทำให้พวกเขามีพ่อคนเดียวกัน ตอนนี้ทุกคนกำลังพยายามหาว่าพ่อของพวกเขาคือใครกันแน่
ที่มา : boredpanda | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ