
สำหรับใครที่เลี้ยงแมว การได้เห็นสัตว์เลี้ยงต้องซึมลง หรือไม่ยอมทานอาหารเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ใจไม่ดีได้ทันที แต่มีโรคหนึ่งที่เจ้าของแมวทุกคนต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด นั่นคือ “ไข้หัดแมว” หรือ Feline Panleukopenia ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อไวรัสพาร์โวแมว การรู้เท่าทันหัดแมวว่ามีอาการอย่างไร จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะการรักษาที่รวดเร็วคือปัจจัยกำหนดชีวิตของน้องแมวได้ บทความนี้จะชี้ให้เห็นถึงสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพาแมวไปพบสัตวแพทย์โดยทันที
หวัดแมว VS หัดแมว ความแตกต่างที่ต้องสังเกต
สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือความแตกต่างระหว่าง “หวัดแมว” กับ “หัดแมว” โดยอาการของหวัดแมวส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม มีน้ำมูก หรือน้ำตาไหล แต่ หัดแมวมีอาการที่จะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ซึ่งมีความรุนแรงและอันตรายถึงชีวิตมากกว่ามาก โดยเฉพาะในลูกแมวที่อายุต่ำกว่า 1 ปี หรือแมวที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน
สัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าแมวอาจเป็นหัดแมว
เมื่อแมวติดเชื้อไวรัสไข้หัดแมว จะมีระยะฟักตัวประมาณ 2-7 วัน จากนั้นหัดแมวจะเริ่มแสดงอาการอย่างชัดเจน ซึ่งอาการที่เจ้าของต้องรีบสังเกตและนำไปพบแพทย์มีดังนี้
- ไข้สูงเฉียบพลันและซึมผิดปกติ : แมวจะมีอุณหภูมิร่างกายสูงร่วมกับอาการเซื่องซึมอย่างรุนแรง ไม่ร่าเริง ไม่ยอมลุกเล่น หรือแม้แต่ไม่ตอบสนองต่อการเรียก
- เบื่ออาหารและอาเจียน : แมวจะปฏิเสธการกินอาหารและน้ำอย่างสิ้นเชิง อาเจียนอาหารที่กินเข้าไป หรืออาเจียนออกมาเป็นน้ำเหลือง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเชื้อไวรัสเริ่มทำลายเยื่อบุทางเดินอาหารแล้ว
- ท้องเสียรุนแรง : เป็นสัญญาณหัดแมวที่บ่งบอกถึงอาการที่อันตรายที่สุด เพราะแมวจะมีอาการท้องเสียอย่างรุนแรง ถ่ายเหลว มีมูกเลือด มีกลิ่นเหม็นคาวผิดปกติ การท้องเสียอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำเฉียบพลันและสูญเสียเกลือแร่อย่างรวดเร็ว ซึ่งนำไปสู่ภาวะช็อกและอาจเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
- ปวดเกร็งช่องท้อง : แมวอาจแสดงอาการปวดเกร็งที่ช่องท้อง มีอาการเกร็งตัวหรือนั่งในท่าที่ผิดปกติ เมื่อแพทย์ตรวจจะพบว่าต่อมน้ำเหลืองบริเวณช่องท้องมีการขยายตัว
ความรุนแรงที่มองไม่เห็น: เม็ดเลือดขาวต่ำ
นอกจากหัดแมวจะมีอาการที่เห็นได้ชัดเจนภายนอกแล้ว โรคนี้ยังทำลายเม็ดเลือดขาวในร่างกายของแมวอย่างรวดเร็ว ทำให้ปริมาณเม็ดเลือดขาวในเลือดต่ำกว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของแมวอ่อนแออย่างมากและเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ง่าย โดยความรุนแรงของโรคจะสัมพันธ์กับการลดลงของเม็ดเลือดขาว
การรักษาโรคหัดแมวในปัจจุบันยังไม่มียาที่ช่วยกำจัดเชื้อไวรัสได้โดยตรง สัตวแพทย์จึงต้องทำการรักษาแบบประคับประคองอาการ เช่น การให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด การให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน รวมถึงการให้ยาลดอาเจียน การที่เจ้าของรู้ทันหัดแมวว่ามีอาการอย่างไร และรีบพาไปพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมงแรกที่สังเกตเห็นอาการซึม หรือเบื่ออาหาร จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของแมวที่รักได้อย่างทันท่วงที














