Kupi Khop กาแฟคว่ำแก้วของอินโดที่ต้องใช้หลอดดูดน้ำที่ซึมบนจาน

มีเมนูท้องถิ่นแปลก ๆ มากมายที่ถูกเสิร์ฟในแบบที่ไม่เหมือนใคร แต่คงไมมีการเสิร์ฟกาแฟที่ไหนที่แปลกประหลาดเท่ากับเมนูกาแฟท้องถิ่นของอินโดนีเซียเมนูนี้แน่นอน

Kupi Khop เป็นกาแฟชนิดพิเศษที่ถูกเสิร์ฟแบบ ‘คว่ำแก้ว’ แล้วให้คุณจิบกาแฟด้วยหลอดผ่านน้ำที่ไหลนองอยู่บนจาน และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่มันถูกเรียกว่าเป็น ‘กาแฟกลับหัวอินโดนีเซีย’

วิธีการเสิร์ฟกาแฟแบบเฉพาะตัวนี้เป็นที่นิยมอยู่บริเวณฝั่งตะวันตกของจังหวัดอาเจะฮ์ ที่ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของเกาะสุมาตรา แม้ว่าคุณจะไม่ใช่คอกาแฟตัวจริง แต่แน่นอนว่าด้วยการเสิร์ฟที่พิสดารนี้จะทำให้คุณอยากลองมันสักครั้งในชีวิต อย่างน้อยก็ได้ถ่ายรูปไปโพสต์บนโซเชียลมีเดียเพื่ออวดเพื่อน ๆ ได้อีกด้วย

Kupi Khop ประกอบไปด้วยกาแฟโรบัสตาที่บดหยาบ ๆ ชงในแก้วใสแล้วคว่ำลงบนจานที่เอาไว้รองแก้ว จากนั้นนำหลอดไปเหน็บไว้ที่ขอบแก้วเพื่อนำไปเสิร์ฟให้กับลูกค้า

เมื่อเมนูถูกเสิร์ฟบนโต๊ะ คุณเพียงแค่ใช้ความระมัดระวังในการดึงหลอดออกมาเพื่อไม่ให้กาแฟทะลักออกมาเยอะเกินไป จากนั้นก็ใช้หลอดดูดน้ำที่นองอยู่บนจาน

คุณอาจคิดว่าการดื่มกาแฟในลักษณะนี้เป็นเพียงแค่การตลาดที่ดึงดูดให้ผู้คนสนใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว Kupi Khop ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็น ‘มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้’ ของทางจังหวัดอาเจะฮ์ และมีประวัติศาสตร์ที่สามารถสืบย้อนไปได้หลายศตวรรษ

การเสิร์ฟกาแฟด้วยการคว่ำแก้วอาจฟังดูไม่สมเหตุสมผล แต่ชาวประมงของอาเจะฮ์เป็นผู้ที่คิดค้นการเสิร์ฟที่ไม่ธรรมดานี้เป็นครั้งแรก เนื่องจากในอดีตการดื่มด่ำกับกาแฟในขณะทำการจับปลาไม่ใช่เรื่องง่าย คุณต้องตั้งแก้วเอาไว้เพื่อไปทำงานของคุณและกว่าจะกลับมากาแฟก็เย็นชืดไปแล้ว แต่การคว่ำแก้วเอาไว้จะช่วยทำให้มันอุ่นได้นานขึ้น รวมถึงช่วยป้องกันเศษฝุ่น แมลง และสิ่งสกปรกอื่น ๆ ที่จะมีโอกาสตกลงไปในแก้ว

แต่หลังจากคว่ำแก้วล่ะ ? แน่นอนว่าการยกแก้วขึ้นมาจะทำให้กาแฟหกเลอะเทอะ ดังนั้นพวกเขาจึงเรียนรู้ที่จะใช้หลอดสอดเข้าไปใต้แก้ว โดยไม่ต้องยกแก้วขึ้นมาจากจานรอง

เมื่อใส่หลอดเข้าไปแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อมาก็คือค่อย ๆ เป่าเข้าไปข้างในหลอดเพื่อทำให้กาแฟไหลซึมออกมาจนเกิดเป็นแอ่งน้ำรอบ ๆ แก้ว จากนั้นก็ใช้หลอดดูดกาแฟขึ้นมา ซึ่งคุณอาจต้องทำขั้นตอนดังกล่าวซ้ำหลายครั้ง กว่าจะดื่มกาแฟแก้วนี้จนหมด ซึ่งนี่เป็นวัฒนธรรมของชาวอาเจะฮ์ที่สืบต่อกันมานานหลายศตวรรษ

ที่มา: odditycentral