แวมไพร์ตัวจริงดื่มเลือดจากคนรัก หลังชิมเลือดตัวเองครั้งแรกเมื่อ 23 ปีก่อน

ย้อนกลับไปตอนอายุ 20 ปี โจเซฟ เบอร์ริส ตัดสินใจลองชิมเลือดของตัวเองและคิดว่ามันมีรสชาติที่ยอดเยี่ยม ดูเหมือนการสำรวจด้านมืดในจิตใจของเขาในครั้งนั้น จะทำให้เขาได้ค้นพบตัวตนใหม่ของตัวเอง

บอดีการ์ดวัย 43 ปี ถูกระบุว่า เขาใช้ชีวิตแบบแวมไพร์มาตลอด 23 ปี เนื่องจากรสนิยมการกินที่ไม่ธรรมดาของเขา โดยเริ่มจากการดื่มเลือดของตัวเองจนตอนนี้เปลี่ยนมากินเลือดผู้คนที่เขารักรอบตัว

โจเซฟผู้ใช้ชื่อว่า ลูดาวิค กล่าวว่าเขามักจะมีไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตแบบกอทิก (Gothic) แต่เมื่อเขาได้ลิ้มรสเลือดของตัวเองในช่วงวัยรุ่น เขาตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขาและเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ที่มืดมนกว่าเดิม

หลังจากทำค้นคว้าด้วยตัวเอง โจเซฟก็ตระหนักว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาตร์และลักษณะเฉพาะของแวมไพร์ ที่รวมถึงความหลงใหลในยามค่ำคืนด้วย

“ผมมักคิดถึงการใช้ชีวิตนอกกรอบอยู่เสมอ เพื่อช่วยระบุตัวตนที่อยู่ในจิตวิญญาณของผมได้มากขึ้น” โจเซฟกล่าว

“ผมดื่มเลือดของคนที่เชื่อถือได้เพียงไม่กี่คน และผมก็ชอบให้มันเป็นเลือดของคนรักผม”

“ผมยังยอมให้คู่รักของผมได้ดื่มเลือดของผมด้วย เพราะมันเป็นการแสดงถึงการผูกมัดเราเข้าด้วยกัน มันเป็นมากกว่าคำมั่นสัญญาที่มีให้กัน”

ที่สำคัญก็คือความปลอดภัยของเลือด คู่รักของเขาหรือผู้บริจาคเลือดให้จะต้องตรวจหาเชื้อ HIV และ AIDS ก่อนเสมอ

มาต่อกันที่รสชาติ โจเซฟกล่าวว่ารสชาติเลือดของแต่ละคนก็แตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์ ซึ่งคุณจะเป็นในสิ่งที่คุณกินเข้าไป

“ตัวอย่างเช่น คนที่กินเนื้อเยอะ ๆ เลือดจะมีความเข้มข้นและมีรสเค็มกว่าคนที่ทานมังสวิรัติ”

“เลือดของคนที่สูบบุหรี่จะมีรสชาติที่แตกต่างจากคนไม่สูบบุหรี่ ผมชอบดื่มเลือดจากคนที่มีสุขภาพดี เพราะมันมีทุกรสชาติในปริมาณที่เหมาะสม”

ตลอด 23 ปีที่ผ่านมา โจเซฟยอมรับว่าเขาดื่มเลือดไปราว 22 ถึง 25 ลิตร อย่างไรก็ตามกระเพาะอาหารของมนุษย์สามารถดูดซับเลือดมนุษย์ได้ครั้งละเล็กน้อยเท่านั้น

นอกจากรสนิยมการกินแล้ว ชายจากโคโลราโดผู้นี้ยังมีรสนิยมด้านแฟชั่นที่ฝังลึกไปในจิตวิญญาณของแวมไพร์เช่นกัน

โจเซฟระบุว่า แฟชั่นแวมไพร์ของเขาเป็นการผสมผสานระหว่างสไตล์ วิกตอเรียน-กอทิก และไซเบอร์พังก์ ซึ่งมันออกมาจากตัวเขาเองตามธรรมชาติ

“ถ้าคุณเป็นของจริง มันก็จะเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ถ้าไม่ใช่ มันก็คือไม่ใช่” โจเซฟเสริม และกล่าวต่อไปว่าเขาไม่เคยลังเลที่จะบอกคนอื่นว่าตนเองเป็นแวมไพร์

ถ้าว่ากันด้วยความเชื่อ โจเซฟจะเป็นแวมไพร์ตัวจริงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าว่ากันด้วยวิทยาศาสตร์ เขากำลังประสบกับโรคพอร์ฟีเรีย (Porphyria) ที่ทำให้ผิวหนังและดวงตาของเขาแพ้แสง ผิวหนังซีดขาวเนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างฮีโมโกลบินได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งในบางครั้งอาจมีอาการทางจิตร่วมด้วย

ซึ่งในประวัติศาสตร์หลายร้อยปีที่ผ่านมา โรคพอร์ฟีเรียถูกมองว่าเป็นต้นกำเนิดของแวมไพร์หรือมนุษย์หมาป่า

เมื่อได้อ่านเรื่องราวของ โจเซฟ เบอร์ริส จบแล้ว เราอาจสรุปได้ว่า แวมไพร์อาจมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเพียงแค่โรคชนิดหนึ่งที่เปลี่ยนให้พวกเขาเป็นแบบนี้นั่นเอง

ที่มา: mirror | pinterest