13 ทฤษฎสมคบคิดของหนังดังฮอลลีวูด ที่ถูกคิดโดยแฟนหนังสุดเพี้ยน

ภาพยนตร์ในช่วงหลังมักนำเสนอเรื่องราวที่น่าตกใจไว้ในตอนจบของเรื่อง ในบางครั้งมันแสดงออกถึงความสร้างสรรค์และบางสิ่งที่ทำให้ผู้ชมต้องตกตะลึง มีผู้ชมหลายคนตั้งทฤษฎีเกี่ยวเรื่องราวและตัวละครในภาพยนตร์เพื่อทำให้มันน่าสนใจและดูน่าค้นหามากขึ้น ถึงบางครั้งมันก็ฟังดูน่าเหลือเชื่อและค่อนข้างบ้าไปสักหน่อย วันนี้เพชรมายาจะมาบอกเล่า 13 ทฤษฎีในภาพยนตร์ที่แฟน ๆ สร้างขึ้น ที่อาจทำให้คุณมองภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวใหม่อีกครั้ง

1. E. T. คืออัศวินเจไดจากจักรวาลสตาร์ วอร์ส

มีการเชื่อมโยงตัวละคร E.T. และเรื่องราวในจักรวาลสตาร์ วอร์สดั้งเดิมเข้าด้วยกัน ภาพยนตร์ทั้งคู่ออกฉากในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้กำกับสองคนอย่างสตีเวน สปีลเบิร์ก และ จอร์จ ลูคัสเป็นเพื่อนสนิทกัน ทฤษฎีนี้ย้อนไปที่ภาคแรกของสตาร์ วอร์ส: ภัยซ่อนเร้น ที่ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับ E.T. ปรากฎในการประชุมสภาแห่งกาแลกติก ไม่เพียงแค่นั้น เรายังเห็น E.T. พบเด็กผู้ชายที่ใส่ชุดโยดาและทำท่าเหมือนจำเขาได้อีก และด้วยพลังเจไดในตัว E.T. ทำให้เขาสามารถยกจักรยานให้บินไปบนท้องฟ้าได้ในฉากสำคัญของเรื่อง

2. มาร์ตี้ แม็กฟลายเสียชีวิตสองครั้งในภาพยนตร์เรื่องเจาะเวลาหาอดีต

ในภาพยนตร์ภาคแรกของเจาะเวลาหาอดีต ดร. บราวน์เสียชีวิตจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายลิเบีย และมาร์ตี้ แม็กฟลาย ย้อนเวลากลับไปเพื่อเตือนเขาถึงสิ่งที่จะเกิด ระหว่างเหตุการณ์นั้นผู้ชมคาดว่าแม็กฟลายเสียชีวิตสองครั้งในภาพยนตร์ทั้งสามภาค โดยครั้งแรกเกิดขึ้นในภาคสองเมื่อดร. บราวน์ช่วยชีวิตเพื่อนของเขาบนระเบียงบ้านของบิฟ แทนเนน และอีกครั้งเขาที่กำลังวิ่งไปที่อุโมงค์ เพราะความจริงแล้วไม่มีทางที่บราวน์จะรู้จุดที่แน่ชัดรวมทั้งเวลาในการย้อนเวลาไป ซึ่งเป็นไปได้ว่าแม็กฟลายเสียชีวิตในเหตุการณ์ทั้งสองครั้ง และดร. บราวน์ย้อนเวลากลับไปช่วยเขา

3. WALL-E ช่างชั่วร้ายยิ่งนักและและขับไล่มนุษย์ออกจากสวงสวรรค์

WALL-E เป็นตัวละครน่ารักที่หลายคนชื่นชอบ การผจญภัยในอวกาศของหุ่นยนต์ตัวน้อยในการช่วยมนุษย์ มีทฤษฎีที่บอกว่า แท้จริงแล้วเป็นเรื่องราวในพระคัมภีร์ที่อ้างอิงถึงอสรพิษที่พยายามขับไล่อดัมและอีฟจากสวนแห่งอีเดน โดยในภาพยนตร์เหล่ามนุษย์ต่างมีชีวิตอย่างผาสุขและไม่มีปัญหาใด จนกระทั่ง WALL-E เข้ามาและมอบต้นไม้ให้กับ EVA นำไปสู่เรื่องราวที่ทำให้มนุษย์ต้องลงมายังโลกที่แห้งแล้ง และพวกเขาต้องทำงานอย่างหนักเพื่อมีชีวิตรอด

4. เบื้องหลังคาถา “อะวาดา เคดาฟรา” ในแฮรี่ พอตเตอร์

คำสาปพิฆาต “อะวาดา เคดาฟรา” (avada kedavra) ที่แปลว่า “ขอให้สิ่งนั้นจงพินาศ” แท้จริงแล้วมีความเชื่อมโยงกับคาถา อะบราคาดาบรา (abracadabra) ที่ผู้คนในยุคกลางใช้เป็นคาถาสำหรับปัดเป่าโรคภัย นี่คือสิ่งที่ เจ.เค. โรว์ลิง ผู้เขียนเคยบอกเอาไว้

จนกระทั่งมีชาวเน็ตคนหนึ่งได้คิดทฤษฎีต่อไปอีกว่า แท้จริงแล้วบรรดาพ่อมดแม่มดเคยใช้คำสาปพิฆาตนี้กับพวกมักเกิ้ลมาก่อน จนกระทั่งบทบัญญัตินานาชาติเกี่ยวกับความลับของผู้วิเศษ ในปี ค.ศ. 1692 ทำให้พ่อมดแม่มดต่างหลบซ่อนตัวเองจากมักเกิ้ล จึงทำให้คาถาดังกล่าวกลายเป็นเพียงตำนาน และเพี้ยนมาเป็น “อะบราคาดาบรา” โดยมีความหมายถึงพลังแห่งการรักษา ที่ตรงข้ามกับความหมายเดิมของมันอย่างสิ้นเชิง

5. ลาจากเรื่องเชร็คมาจากเรื่องราวพินอคคิโอ

ตัวละครทั้งหมดจากเชร็คจำนวนมากมาจากเทพนิยายเช่น ซินเดอเรลา ลูกหมูสามตัวและเรื่องราวที่หลายคนคุ้นเคย นำไปสู่ทฤษฎีที่ว่าลาจากเชร็คอาจมาจากเรื่องพินอคคิโอ เพราะมีการอ้างอิงถึงเกาะแสนสุขในโลกของพินอคคิโอว่าสามารถสาปเด็กให้กลายเป็นลาได้ และยังมีความทรงจำเดิมอยู่ ซึ่งตรงกับเรื่องพุช อิน บูทซ์ ที่ตัวพุชสามารถจดจำตอนที่เขาใส่กางเกงในได้

6. ของเล่นในทอย สตอรี่ไม่ได้มีชีวิต

ทฤษฎีดังกล่าวมีคำอธิบายสองแบบด้วยกัน หนึ่งคือการอ้างอิงถึงความจริงที่ว่า ไม่มีใครจับวูดดี้และบัซ ไลท์เยียร์รวมถึงของเล่นที่เหลือขณะมีชีวิตได้เลย และคนที่เห็นเพียงคนเดียวคือซิด แต่ปรากฎว่าเขาไม่ได้บอกใครเรื่องดังกล่าว ส่วนที่สองก็คือทำไมบัซในภาคแรกและฟอร์คกี้ในภาคสุดท้ายถึงหยุดการเคลื่อนไหวเมื่อเจอมนุษย์ ทั้งที่พวกเขาไม่ได้รู้มาก่อนว่าตัวเองเป็นของเล่น

7. มนุษยชาติสร้างแมทริกซ์หลังจากเอาชนะจักรกลได้แล้ว

เดอะเมทริกซ์เป็นภาพยนตร์ยอดนิยมที่เล่าถึงโลกที่ล่มสลายการการยึดครองของจักรกลที่ชนะสงคราม มีทฤษฎีหนึ่งที่บอกเล่าเรื่องราวว่าแท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น โดยมุมมองด้านนี้เผยว่ามนุษย์ชนะสงคราม แต่มันแลกด้วยการที่โลกเสียระบบนิเวศวิทยาไป ทำให้เครื่องจักรที่เหลือรอดถูกตั้งโปรแกรมเพื่อช่วยมนุษย์ให้มีชีวิตรอดอยู่ได้ในโลกเสมือนจริงอย่างเมทริกซ์แทน เพราะในความเป็นจริงแล้วโลกล่มสลายลง และไม่มีทรัพยากรเพียงพอให้ดำรงชีวิตอยู่

8. ผ้าคลุมศรีษะเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตตัวร้ายจากเรื่องจูราสสิค พาร์ค

เดนนิส เนิร์สลี่ย์ตัวร้ายที่แย่งซีนทุกคนในภาคแรกของจูราสสิค พาร์ค เขาเสียชีวิตจากการถูกไดโลโฟซอรัสโจมตีหลังพยายามหนีจากเกาะ มีทฤษฎีที่น่าสนใจบอกไว้ว่า ถ้าเดนนิสยังสวมผ้าคลุมศรีษะไว้ เขาจะไม่โดนไดโนเสาร์พันธ์นี้จู่โจม เพราะไดโลโฟซอรัสกำลังสนใจเสื้อกันฝนสีเหลือง และผ้าคลุมศรีษะก็เป็นเหมือนดั่งหงอนบนหัวไดโนเสาร์ เมื่อเขาถอดมันออกระหว่างลื่น ทำให้ไดโลโฟซอรัสโกรธและดุร้าย จนมองดูเขาเป็นเหยื่อแทน

9. โจ๊กเกอร์จากแบทแมน อัศวินรัตติกาล เคยเป็นทหารมาก่อน

หนึ่งในทฤษฎีที่น่าสนใจากเรื่องแบทแมน คือการที่โจ๊กเกอร์เป็นอดีตทหารที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต แม้ในภาพยนตร์จะไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่ผู้คนเชื่อว่า วิธีที่ฮีธ เลดเจอร์แสดงในการใช้อาวุธและระเบิด รวมทั้งแผลเป็นบนใบหน้าเขา การที่เขาตอบคำถามของแบทแมน บ่งบอกว่าเขามีความรู้ในเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างดี ซึ่งแน่ชัดว่าเป็นทหารผ่านศึกมาก่อน ทำให้เขาไม่มีประวัติในฐานข้อมูลเพราะเป็นคนของกองทัพที่ถูกปกปิดข้อมูลไว้อย่างลับ ๆ นั้นเอง

10. กัปตันอเมริกาคือคุณตาของสตาร์ลอร์ด

เรื่องนี้มีอยู่ว่า นักแสดงหญิงที่รับบทเป็นแม่ของสตาร์ลอร์ด ปรากฎตัวในเรื่องกัปตันอเมริกาภาคแรกด้วย โดยเป็นหนึ่งในคนที่ให้การสนับสนุนกัปตันอเมริการะหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และบางคนเชื่อว่ามันอาจมีอะไรมากกว่านั้นจนนำไปสู่การที่เธอให้กำเนิดแม่ของสตาร์ลอร์ด

โดยเรื่องราวเกิดขึ้นกลางปี 1940 และสตาร์ลอร์ดเกิดในปี 1980 ด้วยเหตุผลที่ว่าทำไม สตาร์ลอร์ดถึงทรงพลังมากกว่าบุตรคนอื่น ๆ ของอีโก้ ก็เพราะสายเลือดที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากสตีฟ โรเจอร์นั่นเอง แต่ภายหลัง เจมส์ กันน์ ได้ปฎิเสธเรื่องดังกล่าว และบอกว่าคนที่เราเห็นในห้องคนป่วยคือปู่ที่แท้จริงของสตาร์ลอร์ด

11. เควินจากโดดเดี่ยวผู้น่ารัก กลายเป็นจิ๊กซอว์ในภายหลัง

นี่เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่แพร่หลายอย่างมาก เมื่อมีการบอกเล่าว่าเควิน แม็กคาลลิสเตอร์ก็คือจิ๊กซอว์ตอนโต หลังจากที่ตัวละครสนุกกับการล่าผู้ร้ายที่มาปล้นบ้านของเขา ซึ่งตรงกับนิสัยของจิ๊กซอที่สนุกกับการทรมานผู้คนและทำให้เหยื่อเจ็บปวด แผนการที่พวกเขาใช้ก็คล้ายกัน มีการสร้างกับดักซับซ้อนภายในบ้าน และเกมที่ออกแบบมาเพื่อให้เป้าหมายเจ็บปวด ตัวละครทั้งสองมีดวงตาและผมสีเดียวกัน ช่องโหว่ของทฤษฎีนี้ก็คือเควินเป็นเด็กชายในภาคแรกของโดดเดี่ยวผู้น่ารักในปี 1992 ในขณะที่จิ๊กซออายุประมาณ 50 ปีในซอว์ภาคแรกปี 2004

12. มีเรื่องราวที่เชื่อมโยงกันระหว่างเรมี่และอีโก้ใน Ratatouille

ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของหนูตัวหนึ่งที่ใฝ่ฝันจะเป็นเชฟให้ได้ มีแฟนเรื่องนี้ตั้งทฤษฎีหนึ่งไว้ว่า แท้จริงบ้านที่เรมี่ หนูน้อยตัวเอกของเรื่องเติบโตขึ้นมาและฝึกฝนการทำอาหาร ก็คือบ้านของอีโก้นั้นเอง และเป็นแม่ของอีโก้ที่เป็นแบบอย่างให้เรมี่เรียนรู้การทำอาหาร โดยสิ่งที่สนับสนุนเรื่องราวนี้มาจากฉากที่อีโก้ย้อนระลึกถึงความจำในวัยเด็ก ซึ่งเป็นห้องครัวเดียวกันกับที่เรมี่เรียนรู้การทำอาหาร อย่างไรก็ตามผู้กำกับแบรด เบิร์ดได้ดับฝันเรื่องดังกล่าวโดยบอกว่า เราใช้ภาพเดียวกันเพื่อประหยัดเวลาเท่านั้นเอง

13. เรื่องราวของอะลาดินเกิดขึ้นในยุคอนาคตหลังวันสิ้นโลก

อนิเมชั่นอะลาดินเป็นที่รู้จักกันอย่างดี แม้แต่เวอร์ชั่นคนแสดงก็ออกฉายแล้วเมื่อไม่นานมานี้ มีทฤษฎีหนึ่งที่อ้างว่า เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในอนาคตหลังวันสิ้นโลก โดยจินนีบอกว่าเขาติดอยู่ในตะเกียงมามากกว่า 10,000 ปี และเมื่อเขาเสกเสื้อผ้าให้กับนายใหม่ของเขา เราจะเห็นว่ามีชุดแบบสมัยใหม่ออกมาด้วย ทั้งสูทและเนคไท นอกจากนี้ตอนเขาเสกอาบู ลิงของอะลาดินให้กลายเป็นรถยนต์ รวมทั้งการเลียนแบบอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ และ แจ็ค นิโคลสัน ทั้งหมดบ่งบอกว่าจีนีรับรู้เรื่องทั้งหมดมาตั้งแต่ครั้งอดีตและเมื่อถูกจับขังมาเป็นเวลานาน ทำให้เรื่องอะลาดินน่าจะเกิดขึ้นในโลกอนาคต

ที่มา : brightside | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ