ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภาพยนตร์ล้วนมาจากจินตนาการของผู้เขียนบทและผู้กำกับแทบทั้งสิ้น หลายครั้งที่ผู้สร้างภาพยนตร์เหล่านี้ได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านชีวิตจริงของพวกเรา แต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เราเห็นในภาพยนตร์จะเป็นแบบนั้นไปด้วย ถ้ายกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ จากละครไทยก็คือ การที่ผู้หญิงมักจะแต่งหน้าตอนนอนหรือตอนป่วยอยู่โรงพยาบาล ซึ่งมันผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงไปมากทีเดียว
วันนี้เพชรมายาจึงอยากพาทุกท่านไปชมความผิดพี้ยนที่เกิดขึ้นในโลกภาพยนตร์ ที่แตกต่างจากโลกแห่งความจริงโดยสิ้นเชิง มาลองดูกันว่าคุณจะเคยสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้บ้างหรือเปล่า
1. ชุดเกราะ
ดูเหมือนว่าผู้สร้างภาพยนตร์ไม่รู้จุดประสงค์ของการใส่ชุดเกราะ ในภาพยนตร์เราจะเห็นว่าชุดเกราะถูกสร้างมาเพื่อให้ผู้ชายดูน่าเกรงขามและทำให้ผู้หญิงดูน่าดึงดูด แต่ในความเป็นจริง ชุดเกราะถูกสร้างมาเพื่อปกป้องทุกส่วนของร่างกาย มันใหญ่ เทอะทะ และทำให้คุณเคลื่อนไหวไม่สะดวก
2. การเปลี่ยนรูปโฉมอันน่าทึ่ง
บ่อยครั้งที่เราเห็นนางเอกในภาพยนตร์สวมใส่ชุดธรรมดาในตอนแรก และเมื่อพวกเธอเปลี่ยนชุด อาจเป็นแค่เพียงการแต่งหน้า ใส่ชุดเดรสและปล่อยผม ก็สามารถทำให้เธอกลายเป็นนางฟ้านางสวรรค์ จนพระเอกและผู้ชายคนอื่น ๆ ต่างอ้าปากค้าง ซึ่งในความเป็นจริงมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยกับการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้
3. ตะโกนเรียกแท็กซี่
จะมีสักกี่คนบนโลกที่ยื่นมือออกไปพร้อมกับตะโกนเรียก “แท็กซี่!” เพื่อให้คนขับจอด เพราะแท็กซี่ที่ขับมาไกลลิบ ๆ ไม่มีวันได้ยินเสียงคุณแน่นอน ซึ่งในชีวิตจริง สิ่งที่ทุกคนทำเหมือนกันก็คือยืนโบกมือเฉย ๆ เท่านั้น
4. ลูกดอกยาสลบ
ถ้าลูกดอกยาสลบสามารถใช้ได้ผลเหมือนกับในภาพยนตร์ เราคงไม่ต้องมีวิสัญญีแพทย์อีกต่อไป เพราะใคร ๆ ก็สามารถทำให้คนอื่นหลับด้วยลูกดอกยาสลบได้ ในความเป็นจริงมันยากมากที่จะคำนวณปริมาณยาสลบให้เข้ากับทุกคน และอาวุธชนิดนี้ก็ยากที่จะใช้งานจริง ส่วนลูกดอกยาสลบที่ใช้กับสัตว์ก็ต้องใช้เวลาในการออกฤทธิ์หลังจากถูกยิงไปสักพักใหญ่ ๆ ไม่มีทางที่จะยิงปุ๊บสลบปั๊บได้เหมือนอย่างที่คุณเคยเห็นในภาพยนตร์
5. คลอดลูก
ทุกสิ่งเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคลอดในภาพยนตร์ดูไม่ค่อยสมจริง แม่รู้สึกปกติมาตลอด 9 เดือนจนมาปวดท้องและคลอดในอีก 1 ชั่วโมงต่อมา ซึ่งในความเป็นจริงมันแตกต่างกันมาก และเด็กที่เราเห็นในภาพยนตร์มีขนาดตัวใหญ่กว่าเด็กแรกเกิดจริงถึง 2 เท่า แถมเนื้อตัวยังสะอาดกว่าปกติด้วย
6. บาดแผลและอาการโคม่า
เราเห็นความน่าทึ่ง เมื่อตัวละครในโลกบันเทิงที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะโดนแทง โดนยิงหรือทะเลาะวิวาท เมื่อพวกเขาฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล ยังสามารถดึงสายน้ำเกลือและเข็มออกจากร่างกายได้เอง พร้อมกับออกไปลุยกับศัตรูต่อได้ ในความจริงอาการโคม่าใช้เวลานานเป็นสัปดาห์กว่าจะหายดีและคงไม่อาจเดินได้ในเร็ววัน
7. “ไม่มีเวลาอธิบาย”
บ่อยครั้งที่เรามักได้ยินคำพูดว่า “รีบไปเถอะ ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว” ในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งแน่นอนว่าเราจะไม่ใช่ประโยคนี้ในชีวิตจริงอย่างแน่นอน และมันจะง่ายกว่ามากถ้าคุณอธิบายคนอื่นด้วยประโยคสั้น ๆ เพื่อให้คนอื่นเชื่อคุณ เช่น “พวกมันกำลังตามมา” หรือ “เราต้องหนีจาก…” หรือ “มันจะฆ่าพวกเรา” หรืออะไรก็ได้สั้น ๆ ที่ช่วยให้คนอื่นเข้าใจเรื่องราวได้มากกว่านี้
8. คอมพิวเตอร์
ปัญหาเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ในโลกภาพยนตร์ก็คือ แป้มพิมพ์มีเสียงดังมาก หน้าตาซอฟต์แวร์ที่เหมือนถูกออกแบบโดยเด็กอายุ 3 ขวบ ในซีรีย์ NCIS คนเขียนบททำก้าวล้ำมากกว่านั้น โดยนำตัวละคร 2 คนมาใช้งานแป้นพิมพ์อันเดียวกัน แต่เป็นไปได้ว่าแฮกเกอร์อีกฝั่งอาจใช้คน 3 คนกดคีบอร์ดอันเดียวกันก็เป็นได้
9. นักวิทยาศาสตร์ที่รู้ทุกสิ่ง
ถ้าคุณเห็นตัวละครที่ใส่เสื้อคลุมสีขาวในห้องแล็ป พนันได้เลยว่าเขาคือคนที่เก่งกาจในวิทยาศาสตร์รอบด้าน พวกเขาอาจสร้างหุ่นยนต์จากกองขยะได้ ปลูกถ่ายอวัยวะได้ โจรกรรมข้อมูลจาก FBI หรือทำอะไรก็ได้ตามที่ถูกขอ ในความเป็นจริง นักวิทยาศาสตร์ไม่ใช่คนที่จะรอบรู้ในทุก ๆ ศาสตร์ และส่วนใหญ่จะรู้ในศาสตร์ที่พวกเขาศึกษาอย่างจริงจังเท่านั้น
10. ดวลดาบ
ผู้สร้างภาพยนตร์อยากให้ผลงานของพวกเขาดูน่าตื่นตา ทำให้ฉากดวลดาบออกมาเหมือนกับการต้นรำ แม้จะดูสนุก ดูเท่ แต่มันไม่มีความสมจริงแม้แต่น้อย ในความเป็นจริง การดวลดาบจำเป็นต้องใช้ความระแวดระวังทั้งการโจมตีและการป้องกันตัวไม่ให้ถูกแทง ซึ่งมันไม่ได้ดูเท่เหมือนกับในภาพยนตร์แม้แต่น้อย
11. ทรงผมและฟันที่ดูดีของคนยุคโบราณ
คนยุคโบราณแท้จริงแล้วไม่ค่อยสะอาดหรือสุขภาพดีเท่ากับที่เราได้เห็นในปัจจุบันหรือแม้แต่ในโลกบันเทิง พวกเขามีปัญหาเรื่องสุขภาพฟันอย่างมากและคนส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น รวมทั้งไม่มีการจัดแต่งทรงผมหรือหนวดเคราในยุคนั้นด้วย
12. รักษาแผลด้วยแอลกอฮอล์หรือใช้ความร้อนเผา
ในชีวิตจริง แอลกอฮอล์เอาไว้ล้างแผลและเช็ดผิวหนังก่อนฉีดยา การราดมันลงบนบาดแผลมีแต่จะทำให้มันแย่ลง เช่นเดียวกับการใช้ความร้อน ซึ่งการที่คุณหยุดเลือดด้วยวิธีนี้จะทำให้ผิวหนังโดยรอบถูกทำลาย จนนำไปสู่การติดเชื้อได้
13. ล็อกเกอร์ในโรงเรียน
เราเห็นบทสนทนาของเด็กในโรงเรียนหน้าตู้ล็อกเกอร์บ่อยครั้ง พวกเขามักเก็บของส่วนตัว รูปภาพ สิ่งสำคัญเอาไว้ข้างใน แต่ในความจริงแล้วมันไม่เป็นเช่นนั้น น้อยคนนักที่ใช้งานล็อกเกอร์ และพวกเขาจะเก็บของส่วนตัวเอาไว้ในกระเป๋าเป้ของตัวเองมากกว่า
14. ไม่มีการตกลงสถานที่และเวลานัดพบ
การเดทในภาพยนตร์มักมีประโยคที่พูดว่า “ผมจะไปรับคุณ” หรือ “แล้วพบกันที่ร้าน” แต่พวกเขาไม่ค่อยบอกกันและกันว่าจะไปที่ไหน หรือไปพบกันเวลาไหน บางทีพวกเขาอาจใช้พลังจิตในการสื่อสารกันก็เป็นได้
15. ขาดการสื่อสารที่ดี
ดูเหมือนว่าตัวละครในภาพยนตร์มักจะขาดการสื่อสารที่ดีและใช้เวลาไม่คุ้มค่า ตัวอย่างเช่น หลังจากที่ตัวละคร 2 คนลงมาจากรถ คนหนึ่งถามว่า “เรามาทำอะไรที่นี่ ?” แล้วทำไมถึงไม่ถามหรือพูดคุยกันตอนขับรถมาล่ะ
หรือในสถานการณ์ที่มีคนอยากรู้รายละเอียดหนึ่ง แล้วอีกคนพูดว่า “ผมจะแสดงให้คุณดู” จากนั้นทั้งคู่ก็ใช้เวลานานกว่าจะขับรถไปถึงที่เกิดเหตุ จากนั้นก็ตามด้วยคำพูดหล่อ ๆ ว่า “ทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นที่นี่” แทนที่จะใช้เวลาตอนเดินทางอธิบายให้ชัดเจนไปเลยว่าเรื่องราวมันคืออะไร
ที่มา : brightside | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ