หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “มารไม่มี บารมีไม่เกิด” และดูเหมือนมันจะชัดเจนมากสำหรับ เลดี้ กาก้า ที่ต้องเจอกับอุปสรรคในแบบที่เราเองอาจไม่เคยรู้มาก่อน กว่าที่เธอจะก้าวขึ้นมาเป็นซุปเปอร์สตาร์ในทุกวันนี้
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ชาวเน็ตคนหนึ่งได้ทวิตเรื่องราวนี้ลงบนทวิตเตอร์ โดยเธอกล่าวว่า “ตอนที่ เลดี้ กาก้า เรียนมหาวิทยาลัย มีกลุ่มเฟสบุ๊คที่ชื่อว่า ‘สเตฟานี เจอร์มาน็อตตา คุณไม่มีวันมีชื่อเสียง’ และตอนนี้เธอเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รางวัลออสการ์, แกรมมี, แบฟตา และลูกโลกทองคำ ทั้งหมดในปีเดียวกัน”
และทวิตของเธอก็ได้กลายเป็นกระแสไปทั่วโลกออนไลน์ เพราะมีผู้คนที่กดไลค์ทวิตของเธอไปมากกว่า 5 แสนคน และรีทวิตต่อไปกว่า 1.5 แสนครั้ง ซึ่งเรื่องราวนี้เคยถูกเปิดเผยมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2016 เมื่อหญิงสาวนามว่า ลอเรน โบห์น ได้โพสต์ประสบการณ์ส่วนตัวของเธอบนเฟสบุ๊คว่า
“ตอนที่ฉันยังเป็นน้องใหม่ในมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เฟสบุ๊คเพิ่งมีอายุได้ปีกว่าๆ และผู้คนก็สร้างกลุ่มเสื่อมๆ มากมาย ฉันจำได้ว่าฉันไปเจอกลุ่มๆ หนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก มันชื่อว่า สเตฟานี เจอร์มาน็อตตา คุณไม่มีวันมีชื่อเสียง”
“ในกลุ่มมีแต่การคอมเมนท์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคายที่ใช้โจมตีเธอว่าเป็นเหมือนหญิงบริการ มีคนถามว่า ‘เธอคิดว่าเธอเป็นใครกันแน่?’ ฉันยังจำได้ติดตา ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งโพสต์ภาพใบปลิวของเธอที่ได้ไปเล่นดนตรีในบาร์ท้องถิ่นแห่งหนึ่ง เขาใช้เท้าเหยียบลงไปที่ใบปลิวจนมีโคลนจากพื้นรองเท้าติดอยู่ที่ชื่อของเธอ”
“ฉันรับไม่ได้กับเรื่องแบบนี้ แต่ฉันก็ลืมกลุ่มนี้ไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่ง 5 ปีต่อมา ฉันอยู่บนขบวนรถไฟจากนิวยอร์กไปยังฟิลลี และกำลังอ่านนิตยสารฉบับหนึ่งที่มีบทสัมภาษณ์ เลดี้ กาก้า ฉันอ่านไปแบบไม่คิดอะไร จนกระทั่งย่อหน้าที่ 2 ที่มีการระบุว่า ชื่อเดิมของเลดี้ กาก้า คือ สเตฟานี โจแอน เจอร์มาน็อตตา”
“แม่เจ้าโว้ยยย ฉันกรีดร้องอยู่บนขบวนรถอันว่างเปล่า เลดี้ กาก้า คือ สเตฟานี เจอร์มาน็อตตา ? สเตฟานี คือ เลดี้ กาก้า ?”
“ฉันถูกครอบงำด้วยอารมณ์ที่มึนงง แต่ใจหนึ่งก็รู้สึกละอายใจ ละอายใจที่ไม่เคยพิมพ์ปกป้องอะไรเธอเลย แต่ก็เหมือนเดิม ลืมเรื่องนี้ไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง จนกระทั่งสัปดาห์ก่อน ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำนี้ ฉันเห็นโคลนใต้รองเท้าที่ติดอยู่บนชื่อเธอ คำพูดล้อเลียนต่างๆ นานา และคำพูดที่ว่า เธอคิดว่าเธอคือใคร ?”
“ฉันมีความรู้สึกมากมาย แต่ที่พูดออกมาได้ง่ายที่สุดก็คือคำว่า ‘ขอบคุณ’ สเตฟานี ขอบคุณนะที่คิดอยู่เสมอว่าคุณคือซุปเปอร์สตาร์ และใช้รอยร้าวของคุณปล่อยให้แสงสาดส่องเข้ามาให้สว่างสดใสกว่าเดิม”
จริงๆ แล้วการถูกบูลลี่ของ เลดี้ กาก้า ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย พ่อแม่ของเธอส่งเธอไปเรียนเอกชนคาทอลิกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ๆ เธอต้องเจอเด็กคนอื่นรังแกมาโดยตลอด
กาก้าเคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Rolling Stone ในปี 2011 ว่า “ฉันเคยเขียนคิ้วหนาๆ เคยทำผิวสีแทนด้วยตัวเอง แต่ฉันผิวเข้มมากตอนนั้นที่โรงเรียน และคนอื่นๆ ก็บอกว่า ทำไมคุณตัวสีส้ม ทำไมคุณทำผมแบบนั้น คุณเป็นเลสเบี้ยนหรือเปล่า ทำไมคุณถึงแต่งตัวแบบนี้มาโรงเรียน ฉันเคยถูกเรียกหยาบๆ ถูกเรียกเป็นแบบนั้นแบบนี้ บางครั้งฉันก็ไม่อยากไปโรงเรียน”
ตอนอายุ 11 เธอได้มีโอกาสเรียนร้องเพลงกับ ดอน ลอว์เรนซ์ โค้ชร้องเพลงของ คริสตินา อากีเลรา เธอเริ่มหัดเล่นเปียโนคลาสสิกและเรียนการแสดง จนอายุได้ 17 ปี เธอได้รับสิทธิให้เข้าเรียนก่อนเกณฑ์ในโรงเรียนศิลปะทิสช์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และพักอยู่ในหอพักของมหาลัยบนถนนที่สิบเอ็ด
ที่นั่น เธอได้เรียนวิชาดนตรีและพัฒนาทักษะการเขียนเพลงของตัวเอง จากการแต่งร้อยแก้วและบทวิเคราะห์ที่มุ่งประเด็นไปในด้านศิลปะ ศาสนา ประเด็นต่าง ๆ ในสังคม และการเมือง เธอรู้สึกว่าตัวเองมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าเพื่อนร่วมชั้น เธอจึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมองหาโอกาสในอาชีพทางดนตรีในภาคเรียนที่สองขณะเรียนชั้นปีที่ 2
พ่อของเธอยินยอมที่จะออกค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ให้เป็นเวลา 1 ปี โดยมีเงื่อนไขว่า หากไม่ประสบความสำเร็จด้านอาชีพ จะต้องกลับมาเรียนใหม่ สเตฟานีต้องย้ายออกจากบ้านไปเช่าอพาร์ตเมนต์ย่านดาวน์ทาวน์ราคาถูกและไม่มีลิฟต์ เธอเริ่มต้นทำงานที่คลับท้องถิ่นตอนอายุแค่เพียง 18 ปีเท่านั้น
จริงๆ เรื่องราวการเดินทางของเธอกว่าจะมาเป็นที่รู้จักยังมีอีกมากมาย แต่สุดท้ายเธอก็ฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆ จนกลายมาเป็นนักร้องแถวหน้าของโลก เลดี้ กาก้าได้เข้าชิงรางวัลแกรมมีทั้งหมด 24 ครั้งและได้รางวัลมาถึง 9 รายการ ในปี 2010 นิตยสาร Times ได้จัดให้เธอคือหนึ่งใน 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ส่วนนิตยสาร Forbes ได้จัดให้เธออยู่ในอันดับที่ 7 ของผู้หญิงที่ทรงอำนาจที่สุดของโลก
จนกระทั่งในปี 2018 กาก้าได้มีโอกาสแสดงในภาพยนตร์ A Star is Born ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลออสการ์สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเพลง Shallow
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ สเตฟานี เจอร์มาน็อตตา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เธอกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลก เพราะในขณะที่เธอพยายามเดินตามความฝัน หลายคนอาจมองแค่ว่าเธออยากดัง อยากมีชื่อเสียง แต่สุดท้ายเรื่องนี้ก็พิสูจน์ให้เราได้เห็นว่า “หัวเราะทีหลังดังกว่า” มันเป็นอย่างไร
ที่มา : boredpanda | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ