นิทานที่โด่งดังหลายๆ เรื่อง เมื่อมาอยู่ในมือของดิสนีย์แล้ว แน่นอนว่าทุกเรื่องย่อมกลายเป็นอนิเมชันโลกสวยทุกครั้งไป แต่เราทราบหรือไม่ว่า ก่อนที่ “สโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด” จะเปิดตัวครั้งแรกในปี 1937 วอลต์ ดิสนีย์ พยายามปรับเรื่อง The Snow Queen หรือ ราชินีหิมะ ของนักเขียนนิยาย ฮานส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน จนกระทั่งเป็นเวลากว่า 70 ปี ต้นฉบับเทพนิยายเดนนิช (เดนมาร์ก) ได้กลายอนิเมชัน Frozen ที่เป็นการผจญภัยของ แอนนา และ เอลซ่า ที่แทบไม่เหลือเค้าเดิมเลย
แน่นอนว่า ปัญหาของเทพนิยายสมัยก่อนมันออกแนวดาร์ค ไม่เว้นแม้แต่เรื่องราวของ The Snow Queen เรื่องราวมันเริ่มจากปีศาจตัวหนึ่งได้สร้างกระจกเวทมนต์ที่บิดเบือนทุกสิ่งที่มันสะท้อน โดยเฉพาะมันมักจะปิดบังความดีและความสวยงาม แต่จะเพิ่มพูนสิ่งที่เลวร้ายและน่าเกลียดอัปลักษณ์แทน
ปีศาจตัวนี้เป็นครูและมีลูกศิษย์ที่พยายามจะนำกระจกนี้ขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อหลอกพระเจ้าและเทพองค์อื่นๆ แต่ปรากฏว่า พวกมันกลับพลาดทำกระจกหล่นลงไปยังพื้นโลก เศษกระจกนับพันล้านชิ้นได้แตกละเอียดจนเล็กกว่าเม็ดทราย และโดนลมพัดกระจัดกระจายไปทั่วโลก มันวิ่งเข้าสู่จิตใจผู้คนมากมาย ส่งผลให้จิตใจของพวกเขาเย็นชาและมองทุกสิ่งเป็นเรื่องเลวร้ายไปเสียหมด
เคย์หนุ่มน้อยผู้โดนผลของกระจกมนต์ดำ ได้ถูกลักพาตัวไปโดยราชินีหิมะ ราชินีหิมะได้จูบหนุ่มน้อยครั้งแรก เพื่อให้เขาสามารถทนต่อความหนาวเย็นได้ จูบครั้งที่สองเพื่อให้เขาลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับครอบครัว แต่จูบครั้งที่สามจะฆ่าเขาทันที ภาพรวมของนิทานเรื่องนี้ เคย์ได้ตกเป็นเชลยของราชินีหิมะ และเพื่อนบ้านของเคย์ก็คือ เกอร์ดา ที่ฟันฝ่าอุปสรรคมาช่วยเคย์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความรักของทั้งคู่
ในช่วงปลายยุค 90 ดูเหมือนจะใกล้เคียงกับการปรากฏตัวของราชินีหิมะในเวอร์ชั่นของดิสนีย์ ที่ในขณะนั้นเอง การ์ตูนอนิเมชั่นยังคงใช้การวาดมือแบบ 2 มิติอยู่ ซึ่งในเวอร์ชันนี้ หลายคนรู้จักกันในชื่อ “Anna and the Snow Queen” ที่มีเนื้อเรื่องเล่าถึง แอนนา เด็กหญิงที่ไปพบพระราชวังน้ำแข็งที่ถูกฝังอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และเธอได้บังเอิญไปชุบชีวิตราชินีหิมะซึ่งถูกแช่แข็งอยู่ในก้อนน้ำแข็ง ที่แน่ๆ คือ ทั้งสองไม่ได้เป็นพี่น้องกัน ไม่มีเพลงน่ารักๆ ไม่มีการชวนออกไปปั้นตุ๊กตาหิมะ
ในส่วนของเอลซ่า ยิ่งต่างออกไปจากเวอร์ชันที่เราเห็น ไมค์ กาเบรียล ผู้ออกแบบอธิบายลักษณะของเธอดูราวกับ “สาวโชว์เกิร์ลในเวกัส” ตามภาพด้านล่างนี้
ส่วนอีกหนึ่งผลงานของ แคลร์ คีน หนึ่งในทีมออกแบบ ภาพด้านซ้าย คุณจะได้เห็นอิทธิพลมาจาก Bette Midler นักร้อง นักแต่งเพลง นักแสดงชาวอเมริกัน ส่วนภาพขวานั้นได้อิทธิพลมาจาก เอมี ไวน์เฮาส์ นักร้องผู้โด่งดังชาวอังกฤษ
ต่อมาไอเดียของดิสนีย์ได้มาตกผลึก โดยคิดว่าน่าจะทำให้เอลซ่าเป็นที่รักของผู้ชมมากขึ้น แนวคิดที่จะทำให้เอลซ่าและแอนนาเป็นพี่น้องกัน ก็ผุดขึ้นมา
เรื่องราวจึงกลายมาเป็นสองพี่น้องที่อยู่และเติมโตมาด้วยกัน แต่ราชินีหิมะที่เป็นเหมือนยีนชั่วร้ายในตัวของเอลซ่าก็ตื่นขึ้น เธอยังมีตัวสีน้ำเงิน และยังคงเป็นตัวร้ายและสร้างกองทัพมนุษย์หิมะที่จะไปบุกยึดอาณาจักร Arendelle ให้เป็นของเธออีกครั้ง
บทสรุปดูเหมือนว่าเอลซ่าจะกลายเป็นตัวร้ายอย่างสมบูรณ์แบบ จนกระทั่งถึงเวลาอัดเพลงประกอบภาพยนตร์ที่โด่งดังที่สุดอย่าง “Let It Go” ที่ควรจะเป็นเพลงประกอบของตัวร้าย แต่เมื่อผู้สร้างได้ฟังเพลงนี้แล้วจึงระลึกบางอย่างได้ว่า เอลซ่าปรารถนาที่จะเป็นอิสระ เพื่อเป็นตัวของเธอเองเท่านั้น
คำว่า Let It Go หรือ ปล่อยมันไป กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้เอลซ่าไม่ต้องมีผิวสีน้ำเงินเหมือนกับสเมิร์ฟ และในอนิเมชั่นเราจะเห็นว่า เอลซ่ากลายเป็นตัวร้ายจากคนรอบข้างที่หวาดกลัวพลังของเธอ ซึ่งธอไม่ได้เป็นตัวร้ายเพราะเบื้องลึกจิตใจของเธอเองจริงๆ
ภาพฉากด้านล่างคือที่ถูกตัดออก จากเวอร์ชันที่เป็นเอลซ่าตัวร้าย
ลองนึกภาพ ราชินีหิมะเอลซ่าตัวสีน้ำเงิน ที่นำกองทัพมนุษย์หิมะ กลับมายุกยึดอาณาจักรของพ่อแม่ตัวเอง คาดว่าความประทับใจของ Frozen อาจตราตรึงใจเท่าเวอร์ชั่นปัจจุบันก็เป็นได้
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจเพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ
ที่มา : dorkly | เรียบเรียงโดย เพชรมายา