นักแสดงเหล่านี้ ขอยื่นคำขาดเปลี่ยนบทในภาพยนตร์ที่ตนเองเล่น

ถ้าหากคุณคิดว่าอาชีพนักแสดงทั้งหลาย จะมีหน้าที่ทำตามที่ผู้กำกับสั่งเท่านั้นล่ะก็ คุณคิดผิดถนัด เพราะนักแสดงหลายคน โดยเฉพาะนักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ ต่างก็เคยมีการขอเสนอปรับเปลี่ยนบทอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือแม้กระทั่งบทโดยรวมของภาพยนตร์ก็มี วันนี้เพชรมายาขอพาทุกท่านมาชมเรื่องราวของบรรดานักแสดงที่ขอปรับเปลี่ยนบทต้นฉบับในภาพยนตร์ ส่วนจะเป็นใครและเรื่องอะไรบ้าง ลองไปชมกันครับ

1. The Mummy (2017)

ทอม ครูซ เป็นนักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ และมีหลายครั้งที่เขามักจะตั้งกฏเกณฑ์ก่อนเซ็นสัญญาในภาพยนตร์แต่ละเรื่อง อย่างเช่นการรับเล่นภาพยนตร์เรื่อง The Mummy ทอม ครูซ ได้เข้ามาควบคุมเรื่องการถ่ายทำและกระบวนการต่างๆ มากจนเกินไป

อ้างอิงจากสัญญา ทอมมีสิทธิ์อย่างถูกต้องในการควบคุมทิศทางต่างๆ ของโปรเจคนี้ตั้งแต่บทภาพยนตร์ที่ต้องให้เขายินยอมก่อนเริ่มถ่ายทำ และเขายังมีส่วนในการตัดสินใจทางการตลาด เช่นกำหนดการเข้าฉายของเรื่องนี้ต้องเป็นช่วงฤดูร้อนเท่านั้น

ต่อมา ทอมเริ่มถูกวิจารณ์ว่าเข้ามาควบคุมทุกอย่างมากจนเกินพอดี โดยเฉพาะบทต้นฉบับที่พระเอกและมัมมี่จะมีบทใกล้เคียงกัน แต่ทอมยืนยันที่จะเปลี่ยนให้บทของตัวเองมีมากกว่ามัมมี่ สุดท้ายภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกวิจารณ์ในแง่ลบอย่างมาก รวมถึงการทำรายได้ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

2. Snakes on a Plane (2006)

เหตุผลที่ ซามูเอล แจ็คสัน ต้องการเล่นภาพยนต์เรื่องนี้ก็เพราะ “ชื่อเรื่อง” เพราะเขาชอบมันมาก แต่เมื่อทางผู้ผลิตตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเป็น Pacific Flight 121 ซามูเอลไม่ยอม แถมยังบอกว่า นี่มันคือชื่อภาพยนตร์ที่ดีที่สุดที่เขาเคยได้ยินมา

นอกจากนั้น เขายังต้องการเพิ่มคำหยาบคายและเรื่องของยาเสพติดเข้าไปในภาพยนตร์ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่ามีปัญหาเพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งใจจะให้เป็นเรต PG-13 (อนุญาตให้ทุกวัยเข้าชมได้ แต่เนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะกับเด็กต่ำกว่า 13 จึงต้องมีผู้ปกครองร่วมชมและคอยให้คำเตือน) แต่ในที่สุดทางผู้ผลิตก็ยอมปรับให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้ใหญ่มากขึ้น และสุดท้ายเรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึง

3. Jurassic World (2015)

ถือเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง และหนึ่งสิ่งที่ผู้คนต่างพูดถึงกันอย่างมากก็คือ นางเอกของเรื่องใส่ส้นสูงวิ่งหนีไดโนเสาร์ได้อย่างไร ? ถึงแม้ผู้กำกับ โคลิน เทรวอร์โรว์ จะดูว่ามันงี่เง่า แต่นักแสดงสาว ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด ปฏิเสธที่จะถอดรองเท้าของเธอออก

นอกจากนั้น โคลินยังพยายามโน้มน้าวให้ไบรซ์เปลี่ยนรองเท้าเป็นคู่ที่ดูสบายขึ้ แต่นักแสดงสาวกล่าวว่า ตัวละครของเธอต้องสวมส้นสูงเท่านั้น ผู้กำกับกล่าวว่า เขาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมเปลี่ยนใจ แต่เขาก็เคารพในการตัดสินใจของเธอ และในที่สุด เรื่องการใส่ส้นสูงของเธอก็กลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้

4. Pulp Fiction (1994)

อ้างอิงจากไอเดียดั้งเดิม จูลส์ ที่รับบทโดยซามูเอล แจ็คสัน จะต้องมีทรงผมแอโฟรใหญ่ๆ ตัดกับ วินเซนต์ คู่หูของเขา แต่ซามูเอลบอกว่า เด็กหญิงในกองถ่ายที่ไปซื้อวิกไม่รู้ว่าทรงผมแอโฟรเป็นอย่างไร และเธอก็กลับมาพร้อมกับวิกผมที่เราเห็นกันในภาพยนตร์

ตอนแรก ซามูเอลไม่ชอบวิกนี้ แต่หลังจากที่เขาลองใส่มัน เขาก็เริ่มรู้สึกว่ามันเหมาะมากกับสูทและตัวละครของเขา สุดท้าย ควอนติน ทารันติโน ผู้กำกับก็เห็นด้วยกับซามูเอล และให้เขาใส่วิกนี้ไปตลอดการถ่ายทำ

5. Clash of the Titans (2010)

บูโบ นกฮูกจักรกลถือเป็นหนึ่งในตัวละครที่โดดเด่นที่สุดใน Clash of the Titans ในปี 1981 นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ทางผู้กำกับ หลุยส์ เลเทอร์เรียร์ ต้องใส่มันไว้ด้วยในภาพยนตร์รีเมคในปี 2010 แต่ประเด็นคือ แซม เวิร์ธธิงตัน พระเอกของเรื่องไม่ยอม เหตุผลเพราะเขาเกลียดนกฮูก ต่อมาทางผู้กำกับได้บอกว่า แซมได้บ่นเกี่ยวกับนกฮูกอยู่ตลอดเวลา แถมขู่ที่จะทิ้งมันไป

แซมอ้างว่า หลุยส์ได้พยายามทำลายอาชีพนักแสดงของเขาเพียงเพราะความสนุก สุดท้ายทางผู้กำกับก็ตัดสินใจไม่ให้แซมต้องเครียดอีก ด้วยการยอมตัดฉากทั้งหมดของนกฮูกออก และเหลือไว้แค่เพียง 15 วินาทีเท่านั้น

6. Gone Girl (2014)

นี่คือฉากที่สนามบิน ที่พระเอกของเราพยายามจะพรางตัวด้วยการสวมหมวกเบสบอล ซึ่งหมวกเบสบอลที่ เบน แอฟเฟล็ก พระเอกของเรื่องจะต้องสวม มีประเด็นคือ เดวิด ฟินเชอร์ ผู้กำกับต้องการให้เบนสวมหมวกของทีม “นิวยอร์ก แยงกี้” เพราะเขาเชื่อว่ามันเหมาะที่สุดสำหรับบทบาทในภาพยนตร์ แต่เบนที่เป็นแฟนทีม “บอสตัน เรด ซอกซ์” กลับไม่เห็นด้วย

เบนกล่าวว่า เขาเคารพในตัวฟินเชอร์ และจะทำทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่เขาจะไม่ใส่หมวกแยงกี้เด็ดขาด สุดท้ายทางฟินเชอร์ได้แนะนำให้เบนใส่หมวกทีม “นิวยอร์ก เม็ทส์” แทน

7. Shrek (2001)

สำเนียงของเจ้ายักษ์เขียว “เชร็ค” ได้รับการปรับเปลี่ยนพอสมควรก่อนที่เราจะได้ฟังกันในภาพยนตร์ ไมค์ ไมเออร์ส ผู้พากย์เสียงเชร็คต้องปรับแก้ใหม่ 2-3 ครั้ง เพราะหลังจากที่ภาพยนตร์ได้ถูกพากย์เสียงไปถึงครึ่งเรื่องแล้ว ไมค์เริ่มคิดได้ว่า สำเนียงแบบสก็อตติชน่าจะเหมาะกับเชร็คมากกว่า

ไอเดียนี้มาจากการที่ ลอร์ด ฟาร์ควอด ตัวร้ายของเรื่องพูดสำเนียงอังกฤษ และเสียงของเชร็คเองจะดูธรรมดาไปจนไม่เห็นความแตกต่างระหว่างตัวละคร ไมค์อ้างว่า สำเนียงแบบชาวสก็อตจะสะท้อนพฤติกรรมและอารมณ์ของตัวละครได้ดีกว่า

และในที่สุดผู้อำนวยการผลิตอย่าง เจฟฟรีย์ คัทเซนเบิร์ก ได้ตัดสินใจที่จะใช้เงินกว่า 4 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 10% ของต้นทุนภาพยนตร์ทั้งหมด ในการใส่เสียงใหม่ทั้งหมดให้กับภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ

ที่มา : brightside | เรียบเรียงโดย เพชรมายา