อียิปโบราณนั้นมีเรื่องราวที่น่าหลงใหลนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้ปัดทรายออกจากมหาสฟิงซ์ นับเป็นเวลาสองศตวรรษแล้วที่ปริศนามากมายในดินแดนแห่งนี้สำหรับนักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ได้ทำการคลี่คลายอย่างช้าๆ แต่ก็ยังมีปริศนาอีกมากที่รอการเฉลยและยังคงไร้คำตอบจนทุกวันนี้ และวันนี้เพชรมายาขอพาทุกท่านมาชมกัน
10. เขาวงกตที่สาบสูญของอียิปต์
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อน มีเขาวงกตขนาดใหญ่ในอียิปต์ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าพีระมิดใดๆ มันคือสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาที่สูงสองชั้นข้างในนั้นมีห้องที่แตกต่างกันมากกว่า 3,000 ห้องที่เชื่อมต่อกันผ่านทางคดเคี้ยวของเขาวงกตที่ซับซ้อนจนคนหลงทางได้ถ้าไม่มีเครื่องนำทาง ส่วนล่างนั้นจะมีทางใต้ดินที่ทำหน้าที่เป็นสุสานสำหรับกษัตริย์ และที่ด้านบนคือหลังคาขนาดใหญ่ที่สร้างจากแผ่นหินแผ่นเดียวประดับด้วยคำอักษรโบราณมากมาย
แต่ผ่านมา 2,500 ปีเราก็ยังไม่แน่ใจว่ามันอยู่ที่ไหน ใกล้ที่สุดที่เราได้ค้นพบนั้นคือที่ราบสูงหินกว้าง 300 เมตรที่เชื่อกันว่าเป็นรากฐานของเขาวงกต ในปี 2008 ทีมของผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์เรดาร์สแกนที่ราบสูงและได้พบสิ่งข้างใต้ที่ปรากฎเขาวงกตใต้ดินเหมือนกับที่คำอธิบายโบราณว่าไว้ และแน่นอนว่ายังไม่เคยมีใครได้เข้าไปในนั้นเลยบางทีเราอาจได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอียิปต์ก็เป็นได้
9. ราชินีปริศนาแห่งอียิปต์
ปี 2015 นักโบราณคดีสะดุดตากับสุสานของหญิงสาวคนหนึ่งที่ฝังท่ามกลางมหาพีระมิดของอาณาจักรอียิปต์โบราณ คำจารึกเรียกเธอว่า “ภรรยาของกษัตริย์” และ “มารดาของกษัตริย์” 4,500 ปีก่อนเมื่อครั้งที่สตรีคนนี้ยังมีชีวิตเธออาจจะเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญบนโลกนี้ก็เป็นได้ อาจจะมีอำนาจเหนือใครในประเทศนี้และไม่มีใครรู้ว่าเธอคือใครกันแน่
นักประวัติศาสตร์ได้ขนานนามเธอว่า “เคนคาอุสที่สาม” ภายใต้สมมติฐานว่าเธอเป็นลูกสาวของราชินี เคนคาอุสที่สอง โดยเชื่อว่าเธอเป็นภรรยาของฟาโรห์เนเฟเรเฟรและแม่ของฟาโรห์ เมกะเฮอร์ ไม่ว่าเธอจะเป็นใครก็ตามนับได้ว่าเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจอย่างไม่น่าเชื่อซึ่งเป็นอะไรที่ลึกลับเกินคาดเดา
8. สฟิงค์แห่งอิสราเอล
ปี 2013 ที่เทล ฮาเซอร์ ประเทศอิสราเอล นักโบราณคดีได้ค้นพบบางสิ่งที่ไม่น่าอยู่ที่นี้ได้เพราะมันห่ายงจากประเทศอียีปต์อย่างมากนั้นคือสฟิงค์โบราณที่มีอายุกว่า 4,000 ปี โดยเฉพาะการค้นพบอุ้งเท้าของรูปปั้นที่เป็นฐานซึ่งส่วนที่เหลือนั้นได้ถูกทำลายไปหลายพันปีก่อนอย่างมีเจตนา โดยมันน่าจะมีความสูง 1 เมตร และหนักครึ่งตันได้
ไม่มีใครรู้ว่ารูปปั้นอียิปต์นั้นมาทำอะไรที่อิสราเอลแต่มีเบาะแสเหลือไว้เป็นคำจารึกใต้ฐานว่า “กษัตริย์เมนเคอเร ” ซึ่งเป็นฟาโรห์ที่ปกครองอียิปต์ราวๆ 2500 ก่อนคริสตศักราช ไม่น่าเป็นไปได้ที่เทล ฮาเซอร์จะถูกยึดโดยอียิปต์ในยุกนั้นเมืองนี้เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนในคานาอันที่เชื่อมโยงโดยตรงระหว่างอียิปตฺและบาบิโลนซึ่งเป็นมหาอำนาจในบริเวณนี้ การคาดเดาของเรามันอาจจะเป็นของขวัญซึ่งก็ไม่แน่ชัดว่าทำไมกษัตริย์เมนเคอเรถึงได้ส่งสิ่งนี้มา และทำไมจึงมีการทำลายรูปปั้นนี้ทิ้งไป
7. ปริศนาการสิ้นพระชนม์ของทุตอังค์อามุน
ฟาโรห์ทุตอังค์อามุนอายุเพียง 19 พรรษาตอนที่พระองค์ได้จากโลกนี้ไปและไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนกลายเป็นปริศนา ทุตอังค์อามุนมีพลานามัยที่อ่อนแอพร้อมกับโรคมาลาเรียทั้งยังทรงมีความผิดปรกติทางพระกายหลายประการตั้งแต่แรกเกิดซึ่งนักโบราณคดีคาดว่าน่าจะมีผลสืบเนื่องมาจากการสมสู่กันระหว่างญาติสนิทซึ่งพระบิดาและมารดาเป็นพระเชษฐาและพระภคินีกัน
ด้วยเหตุนี้การเสียชีวิตของพระองค์อาจจะขึ้นอยู่กับเวลานั้น ทรงมีรูปกระโหลกที่ผิดแปลกซึ่งในตอนแรกเชื่อว่าพระองค์โดนแทงที่กระโหลกแต่ในภายหลังเชื่อว่าอาจจะมาจากขั้นตอนการดองพระศพ แต่ความเป็นไปได้ที่จะโดนลอบปลงพระชนม์ก็มีอยู่ เนื่องด้วยหัวเข่าข้างขวาของพระองค์นั้นหักก่อนการเสียชีวิต ซึ่งนำไปสู่ทฤษฎีที่ว่าพระองค์โดนสังหารในอุบัติเหตุรถม้าศึก ซึ่งก็แปลกเช่นกันเพราะพระองค์นั้นไม่สามารถยืนด้วยตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตามทุตอังค์อามุนก็ไม่ได้มีข่าวดีเลยในช่วงเดือนสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นพระชนม์
6. ห้องลับในมหาพีระมิด
พีระมิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสร้างเมื่อ 4,500 ปีก่อนเพื่อฟาโรห์คูฟู มันคือสิ่งก่อสร้างมหึมาที่สูงมากถึง 150 เมตรสร้างด้วยหินมากกว่า 2.3ล้านชิ้น จนถึงทุกวันนี้มีห้องแค่สามห้องเท่านั้นซึ่งดูเหมือนว่ามีที่ว่างที่เสียเปล่ามากเกินไปข้างใน ทีมได้ทำการสแกนพีระมิดเมื่อพฤศจิกายน 2017 เพื่อดูว่ามีอะไรที่พลาดไปและได้ค้นพบว่าเหนือห้องจัดแสดงที่ยิ่งใหญ่ของพีระมิดนั้นมีห้องลับขนาดใหญ่ที่สุดซ่อนอยู่
น่าแปลกที่ชาวอียิปต์สร้างห้องที่ไม่มีทางเข้านี้ขึ้นมา ทางเดียวที่จะใส่สิ่งของข้างในได้นั้นคือทำขณะที่สร้างพีระมิดนี้และปิดผนึกมันหลังจากนั้น เราไม่มีทางรู้ได้ว่ามีอะไรที่ฟาโรห์คูฟูซ่อนไว้ข้างในที่ไม่อยากให้ปรากฎแก่แสงไฟอีกครั้งกันแน่
5. มัมมี่ที่ห่อด้วยหนังสือต่างประเทศ
ปี 1848 ชายคนหนึ่งได้ซื้อมัมมี่โบราณมาจากร้านค้าในอเล็กซานเดรีย เป็นเวลาหลายปีที่เขานำมันมาตั้งโชว์ไว้โดยไม่ได้สังเกตถึงสิ่งแปลกปลอม หลังจากนั้นหลายปีได้มีการนำผ้าห่อมัมมี่ออกนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสิ่งแปลกๆ คือมันทำมาจากผ้าลินินของหนังสือในสมัยนั้นและมันไม่ได้เขียนด้วยอักษรอียิปต์
การสอบสวนได้เริ่มต้นว่านี้คืออักษรอะไรจนได้รู้เมื่อไม่นานนี้ว่ามันคือภาษาเอตรุสคานซึ่งเป็นภาษาของขนเผ่าโบราณที่เคยอาศัยในอิตาลี และนับได้ว่าเป็นภาษาที่มีคนรู้เรื่องน้อยมาก คำที่ปรากฎบนมัมมี่นี้นับได้ว่าเป็นข้อความเอตรุสคานที่ยาวที่สุดที่เราเคยได้ค้นพบมา
มีคำถามมากมายในเรื่องนี้เพราะเรายังไม่รู้ว่าข้อความบนนั้นหมายถึงอะไร เราเข้าใจได้แค่บางคำเท่านั้นซึ่งบ่งบอกถึงเวลาและชื่อของพระเจ้า เราได้แค่เดาถึงความน่าจะเป็นเท่านั้นว่าทำไมถึงได้มีการใช้หนังสือเอตรุสคานมาใช้ห่อศพนี้ หรือว่าเธอจะเป็นชาวเอตรุสคานก็เป็นได้
4. แสงเดนเดอระ
บนกำแพงแห่งวิหารในเดนเดอระ ประเทศอียิปต์มีสิ่งที่มาพร้อมกับความเชื่อที่แปลกประหลาดยิ่งบนรูปภาพที่แสดงถึงสิ่งแปลกๆ งูในลูกบอลไฟบินออกจากดอกบัวในขณะที่ถูกแบกไว้ด้วยเสาที่มีมือมนุษย์ มองดูแล้วเหมือนกันมากกับรูปร่างของท่อครุกซึ่งเป็นรูปแบบของหลอดไฟที่คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่ 19
ในความเป็นจริง มันเหมือนหลอดไฟที่คนอาจจะคิดว่ามันคือแผนผังในการสร้าง ในห้องที่ปรากฎภาพนี้ไม่มีส่วนของที่จุดคบไฟเลยทั้งที่ทุกส่วนของอาคารนั้นมีสิ่งนี้เต็มไปหมด ถ้าพวกเขาไม่ได้มีหลอดไฟที่นี้แล้วพวกเขาจะเห็นสิ่งต่างในห้องที่มืดมิดได้อย่างไร และทำไมพวกเขาถึงสลักภาพสลับซับซ้อนนี้ไว้บนกำแพงด้วย?
3. พีระมิดที่ถูกทำลาย
พีระมิดแห่งเจดีเฟรควรจะเป็นพีระมิดที่อยู่บนจุดที่สูงที่สุดในอียิปต์ เจดีเฟรไม่ได้มีทรัพยากรมากมายในการสร้างพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดได้ แต่เขาแก้ปัญหาที่ละน้อยเพื่อให้แน่ใจว่ายอดปลายของสุสานของเขานั้นจะสูงเล็กน้อยกว่าของผู้อื่นโดยการสร้างบนเนินเขา
ซึ่งในขณะนั้นพีระมิดส่วนใหญ่ทั้งหมดสร้างพีระมิดของเจดีเฟรนั้นกลับถูกทำลายโดยเหลือแค่ส่วนฐานเท่านั้น ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นแต่มีทฤษฎีนึงที่น่าใจว่าเจดีเฟรนั้นอาจจะเสียชีวิตลงก่อนที่งานจะสำเร็จจึงทำให้พีระมิดนั้นพังทลายลง ในอีกทางนึงก็อาจจะเป็นชาวโรมันที่มันทำลายที่นี้เพื่อนำหินไปใช้งานเมื่อ 2,000 ก่อน หรือบางทีอาจจะเป็นคนที่เกลียดเจดีเฟรที่พยายามสร้างสิ่งที่โดดเด่นเหนือใครก็เป็นได้
2. การหายตัวไปของราชินีเนเฟอร์ติติ
ราชินีเนเฟอร์ติตินับได้ว่าเป็นสตรีในตำนานที่ปกครองทั่วทั้งอียิปต์ได้ พระนางเป็นภรรยาของฟาโรห์อาเคนาเทนมารดาของฟาโรห์ตุตันคาเมนโดยไม่ความเชื่อในสิทธิการปกครองทั่วทั้งอียิปต์ของตน ระหว่างที่สุสานของฟาโรห์องค์อื่นๆนั้นยังคงอยู่ในอียิปต์ทุกวันนี้แต่ไม่มีใครพบสุสานของพระนางเนเฟอร์ติติเลย
การค้นหาดำเนินไปหลายปีจนถึงปี 2018 นักโบราณคดีเชื่อว่าพวกเขาพบที่ฝังพระศพของพระนางในห้องลับในสุสานของทุตอังค์อามุนแล้ว แม้ว่าการสแกนอย่างพิถีพิถันผ่านกำแพงไปจะไม่พบอะไรข้างในก็ตาม ในประวัติศาสตร์ของอียิปต์ก็ไม่มีการพูดถึงการเสียชีวิตของพระนางเลยหลังจาก 12 ปีของการปกครองของอาเคนาเทน ทุกสิ่งเกี่ยวกับพระนางก็หยุดลงไปด้วย
ดอกเตอร์ Joyce Tydseley ได้อธิบายอย่างง่ายๆ ว่าเพราะตัวเนเฟอร์ติตินั้นไม่ได้สำคัญอะไรเลยเพียงแต่ผู้คนยกย่องนางกันไปเองจากการที่ค้นพบรูปปั้นของเธอซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในเวลานั้น
1.ดินแดนที่สาบสูญแห่งพันท์
ข้อความโบราณของอียิปต์ได้บอกเล่าเรื่องราวของสถานที่นึงที่ชื่อว่า “พันท์” มันเป็นอาณาจักรแอฟริกาโบราณที่เต็มไปด้วยทอง งาช้าง และสัตว์แปลกๆ ที่ทำให้ชาวอียิปต์นั้นตื่นเต้น พวกเขาขนานนามดินแดนนี้ว่า “ดินแดนของพระเจ้า” จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพันท์นั้นมีอยู่จริง
มีการกล่าวถึงที่นี้มากมายในข้อความโบราณแม้แต่รูปภาพของราชินีแห่งพันท์ในวิหารของอียิปต์โบราณ แม้ว่ามันจะทรงพลังและสำคัญก็ตามแต่เราก็ไม่เคยพบเมืองนี้เลย ร่องรอยที่นำไปสู่พันท์ได้นั้นคือวัตถุโบราณที่ชาวอียิปต์เก็บไว้
การศึกษาซากศพมัมมี่ของลิงบาบูนสองตัวที่ชาวอียิปต์นำมาจากพันท์บ่งบอกว่ามาจากพื้นที่ในแถบเอริเทรียหรือเอธิโอเปียตะวันออกในปัจจุบันนั้นเอง นั้นทำให้เราเริ่มต้นในการค้นหาพันท์จากจุดนั้นได้แต่มันกินบริเวณมหาศาล และเมื่อเราค้นพบอาณาจักรโบราณนี้เมื่อไหร่ก็อาจจะเผยความลับมากมายที่ซ่อนในอดีตของเราก็เป็นได้
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจเพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ
ที่มา : listverse