ยุคกลาง คือช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ยุโรป ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยปกติแล้วจะเริ่มนับตั้งแต่การล่มสลายลงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก (การสิ้นสุดของสมัยคลาสสิก) จนถึงจุดเริ่มตั้นของสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา และยุคแห่งการสำรวจ ซึ่งเป็นยุคที่นำไปสู่สมัยใหม่ในเวลาต่อมา และเวลาที่เราพูดถึงยุคกลาง ก็มักจะมีภาพความเชื่อบางอย่างที่ติดหัวเรามาจากในภาพยนตร์ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องจริง เนื่องจากมีตำนานมากมายที่ทำให้เราเข้าใจผิดอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ และวันนี้เพชรมายาจะพามาชมความเชื่อผิดๆ ในช่วงนั้นกันว่าอะไรบ้างที่ไม่เป็นความจริง
1. ผู้คนคิดว่าโลกแบน
จริงๆ แล้ว แนวคิดเรื่องโลกแบน ถูกพูดถึงในประเทศแถบสแกนดิเนเวียและหายไปหลังจากการมาถึงของศาสนาคริสต์ ส่วนประเทศในแถบยุโรปที่เหลือ รวมถึงในเมดิเตอร์เรเนียน ผู้คนในยุคกลางที่มีการศึกษารู้แล้วว่าโลกกลม โดยสิ่งที่ยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีคือแผนที่และบันทึกของผู้คนในยุคนั้นที่ถูกส่งต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
2. โคลัมบัส ต้องการพิสูจน์ว่าโลกกลม
หลายคนเชื่อว่า โคลัมบัสต้องการพิสูจน์ว่าโลกกลม แต่ในความเป็นจริง ในเมื่อทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าโลกกลมมาตั้งแต่ยุคกลางก็ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีก ซึ่งโคลัมบัสต้องการแค่พิสูจน์ว่าโลกของเราใหญ่กว่าที่ผู้คนคิด เขาเชื่อว่าเขาอาจไปถึงพื้นที่อุดมสมบูรณ์ทางเอเชียตะวันออกได้ด้วยการล่องเรือไปทางตะวันตก แต่เขาดันไปพบเข้ากับแผ่นดินที่ไม่รู้จักในทะเลแคริบเบียนแทน
3. ไวกิ้งต้องสวมหมวกมีเขา
ภาพของเราที่เห็นว่าชาวไวกิ้งต้องสวมหมวกมีเขาถือเป็นแค่เพียงตำนาน เพราะชาวไวกิ้งของจริงไม่เคยสวมหมวกที่มีเขา เพราะมันไม่สบายและไม่เหมาะกับการสู้รบ โดยจุดเริ่มต้นความเชื่อที่ผิดๆ นี้ เริ่มมาจากบรรดาศิลปินชาวสแกนดิเนเวียนในศตวรรษที่ 19 ที่เริ่มใส่เขาให้กับชาวไวกิ้งในภาพวาดต่างๆ
4. ผู้ชายให้ผู้หญิงใส่เข็มขัดพรหมจรรย์
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวของอัศวินในยุคกลางที่ต้องออกไปรบในสงครามครูเสด และทำเข็มขัดพรหมจรรย์ขึ้นมาใส่ให้ภรรยาของตนเพื่อไม่ให้นอกใจ แต่ในความเป็นจริงนี่เป็นเพียงแค่เรื่องเล่า และเข็มขัดพรหมจรรย์เหล่านี้เป็นเพียงจินตนาการแฟนตาซีที่เกิดขึ้นมาในยุคหลังเท่านั้น
5. อายุขัยโดยเฉลี่ยคือ 30 ปี
ถึงแม้อายุขัยโดยเฉลี่ยของผู้คนในยุคกลางคือ 30 ปี แต่จริงๆ แล้ว การที่ค่าเฉลี่ยต่ำขนาดนี้ ไม่ได้แปลว่าผู้คนส่วนใหญ่จะตายตอนอายุ 30 ปี แต่เนื่องจากอัตราการตายของเด็กทารกสูงมาก ส่วนผู้ใหญ่ถ้าไม่มีอาการเจ็บป่วยใดๆ ก็จะมีอายุยืนไปถึง 60-70 ปี
6. ผู้คนไม่อาบน้ำ
แน่นอนว่าผู้คนในยุคกลางไม่ได้ตัวสะอาดเหมือนคนในปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังอาบน้ำทุกวันเพื่อสุขอนามัยที่ดีและไม่ทำให้ตัวเองมีกลิ่นเหม็น การใช้สบู่เริ่มแพร่หลายและคนทำสบู่ก็กลายเป็นธุรกิจที่สำคัญในเมืองใหญ่
7. ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์มีเสียง
ถึงแม้ผู้หญิงในยุคกลางจะไม่ได้มีอิสระเหมือนผู้หญิงในยุคปัจจุบัน โดยส่วนมากมักจะต้องเผชิญทางเลือกระหว่างการแต่งงานหรือเข้าสู่ศาสนา แต่ถึงอย่างนั้นผู้หญิงในยุคกลางก็ยังมีส่วนช่วยพ่อและสามีของพวกเธอในการทำธุรกิจการค้า รวมไปถึงการสืบทอดกิจการและการซื้อขายทรัพย์สิน นอกจากนั้นยังมีผู้หญิงหลายคนที่มีอิทธิพลในยุคนั้นอีกด้วย
8. ผู้คนยังไม่รู้จักการใช้ชุดช้อนส้อม
ในความเป็นจริงแล้ว ชุดช้อนส้อมและมีดสำหรับรับประทานอาหาร ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในช่วงยุคกลาง ตัวอย่างเช่น ส้อม ปรากฏอยู่ในสมัยจักรวรรดิไบแซนไทน์ ในช่วงศตวรรษที่ 6 และในอิตาลีช่วงศตวรรษที่ 11
9. คริสตจักรขัดขวางวิทยาศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ในสมัยนั้นเป็นสมาชิกของคริสตจักร และไม่ได้ถูกกดขี่แต่อย่างใด ในหลายๆ ผลงานของนักวิทยาศาสตร์ยุคนั้นได้รับรางวัลสำหรับการพัฒนาความรู้และภูมิปัญญา รวมถึงไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับความพยายามทำลายวิทยาศาสตร์ โดยชาวคริสตจักรในสมัยนั้น
10. ผู้หญิงถูกเผาด้วยข้อหาแม่มด
การล่าแม่มด ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในยุคกลาง แต่มันปรากฏขึ้นหลังจากนั้นนานมาก โดยช่วงเวลาที่การล่าแม่มดแพร่หลายมากที่สุดก็คือในช่วงศตวรรษที่ 16-17 แถมในยุคกลาง ผู้คนยังปฏิเสธการมีอยู่ของแม่มดอีกด้วย
11. ประเพณีนอนกับผู้ปกครอง
นี่คือประเพณีที่ว่า เมื่อมีการแต่งงานของชาวบ้านเกิดขึ้น เจ้าสาวจะต้องมาหลับนอนกับลอร์ดผู้ปกครอง 1 คืน ก่อนที่จะได้กลับไปอยู่กับเจ้าบ่าว แต่ในความเป็นจริง ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ว่าประเพณีนี้มีอยู่จริง และมันคือการตีความที่ผิดพลาดทางประวัติศาสตร์นั่นเอง
12. อัศวินมีเกียรติและสุภาพ
นี่เป็นความเชื่อที่ห่างไกลจากความเป็นจริง บ่อยครั้งในเวลาที่อัศวินเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในสนามรบ พวกเขาชอบอาละวาดข่มขู่ประชาชน นอกจากนั้นอัศวินพวกนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องการข่มขืนผู้หญิงอีกด้วย
กดถูกใจและสามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ
ที่มา : brightside | เรียบเรียงโดย เพชรมายา