แน่นอนว่าการเป็นคนดังมีชื่อเสียง มักจะได้รับสิทธิพิเศษอะไรหลายๆ อย่าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการที่ผู้อื่นมอบให้ด้วยความเต็มใจ ตัวอย่างเช่น เจ้าของแบรนด์สินค้าต่างก็อย่างส่งผลิตภัณฑ์ของตัวเองไปให้ดาราหรือคนมีชื่อเสียงใช้เพื่อการโปรโมท แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเกิดคนดัง (หรืออาจจะยังไม่ค่อยดัง) เป็นผู้ยื่นขอเสนอไปด้วยตัวเองแบบนี้
เรื่องราวดราม่าเริ่มต้นมาจากการที่ แอล ดาร์บี ยูทูปเบอร์สาวได้ส่งอีเมลไปยังโรมแรม Charleville Lodge Hotel เพื่อขอไปพัก “ฟรี”
แอลได้แนะนำตัวและช่องยูทูปของตัวเองที่มีผู้ติดตาม 87,000 คน รวมถึงในอินสตาแกรมที่มีผู้ติดตาม 76,000 คน โดยเธอกับแฟนต้องการเดินทางไปที่เมืองดับลินในช่วงก่อนวาเลนไทน์ เธอชอบโรงแรมนี้และขอเข้าพักฟรี เป็นเวลา 5 วันตั้งแต่วันที่ 8-12 กุมภาพันธ์
สิ่งที่เธอต้องการแลกกับการเข้าพักฟรีก็คือ การโปรโมทโรงแรมผ่านช่องทางยูทูปและอินสตาแกรมที่เธอมีนั่นเอง ซึ่งในปีที่แล้วเธอเคยทำงานร่วมกับ Universal Orlando ในฟลอริดา ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาดีทีเดียว
เอาล่ะ ถ้าคุณเป็นเจ้าของโรงแรม จะตอบเธอไปว่าอย่างไรดี ?
พอล สเตนสัน เจ้าของโรงแรมดังกล่าว รวมถึงเป็นเจ้าของร้าน The White Moose Cafe ได้ตัดสินใจโพสต์เรื่องราวนี้บนเฟสบุ๊คของทางร้าน เพื่อตอบโต้เรื่องนี้อย่างดุเดือดว่า
“ขอบคุณที่มาขอพักฟรีนะ ผมได้รับอีเมลแบบนี้มากมาย ที่ไม่เคารพและให้เกียรติตัวเอง ถ้าผมให้คุณพักที่นี่เพื่อแลกกับเนื้อหาวีดีโอของคุณ ใครจะจ่ายค่าพนักงานที่ดูแลคุณ ? ใครจะจ่ายค่าแม่บ้านที่ทำความสะอาดห้องคุณ ? บริกรที่คอยเสิร์ฟอาหารเช้าให้คุณล่ะ ? พนักงานต้อนรับที่เช็คอินให้คุณล่ะ ? ใครจะจ่ายค่าไฟค่าฮีทเตอร์ที่คุณใช้ในระหว่างเข้าพัก ? ค่าซักผ้าปูที่นอนอีก ? ค่าน้ำด้วยล่ะ ? บางทีผมควรบอกพนักงานว่า พวกเขาจะได้ไปอยู่ในวีดีโอของคุณแทนที่จะได้รับค่าจ้างตอบแทนสำหรับการทำงาน ในขณะที่คุณพักอยู่ดีไหม ?”
“โชคดีที่เราก็มีคนตามโซเชียลมีเดียเหมือนกัน เรามีผู้ติดตาม 186k ในเฟสบุ๊ค มีผู้ติดตาม 80k ในสแนปแชท มีผู้ติดตาม 32k ในอินสตาแกรม และอีก 12k ในทวิตเตอร์ แต่พระเจ้า! ผมไม่เคยเลยที่จะขออะไรคนอื่นฟรีๆ ผมยังมี Blog … เท่าที่ผมรู้คือเป็นช่องทางที่จะ “เขียนบางสิ่งบนอินเทอร์เน็ต” ตัวเลขข้างบนไม่ได้ทำให้ผมดีกว่าคนอื่น หรือทำให้ผมมีสิทธิ์ที่จะไม่จ่ายเงินให้กับบางคนที่ควรจ่าย”
“ในอนาคต ผผมแนะนำคุณว่าควรเสนอการจ่ายเงินเหมือนกับที่คนอื่นๆ ทำ และถ้าโรงแรมเชื่อว่าคุณจะช่วยพวกเขาได้ บางทีพวกเขาอาจจะอัปเกรดห้องสวีทให้คุณ นี่คือการแสดงความเคารพตัวเองมากกว่าในงานของคุณ จงเผชิญกับมัน มันจะทำให้คุณน่าอายน้อยลง”
“ปล. คำตอบ คือ ไม่”
ดูเหมือนคำตอบของคุณสเตนสันที่โพสต์ลงบนโซเชียลจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก มีผู้คนบนโลกออนไลน์สนับสนุนการตัดสินใจของเขาอย่างเต็มที่ นอกจากนั้น ยังมีผู้คนอีกมากที่มองว่า บรรดาอินฟลูเอนเซอร์หลายคนเป็นพวกเห็นแก่ตัว ไร้ความสามารถ และเน้นการขายสินค้ามากกว่าที่นำเสนอความเป็นตัวเอง
ที่โชคร้ายที่สุดก็คือ มีชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยที่ไปบุกถล่มยูทูปเบอร์สาว จนเธอต้องออกมาอธิบายเรื่องนี้ในคลิปวีดีโอของเธอ
“ประเด็นของฉันไม่ใช่เรื่องการปฏิเสธคำขอ แต่เป็นวิธีที่เขาตอบสนองต่างหาก มันจะง่ายมากถ้าเขาตอบแค่ ‘ไม่’ ในอีเมล หรือไม่ก็ปล่อยอีเมลนี้ทิ้งไป แทนที่จะทำเหมือนฉันเป็นภัยคุกคามหรือก้อนมะเร็งร้าย”
ดูเหมือนสงครามนี้จะยังไม่จบเมื่อศีกนี้ถูกแบ่งเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน โดยมีอินฟลูเอนเซอร์บางคนที่พยายามปลุกกระแสแบนโรงแรม Charleville Lodge Hotel และ The White Moose Cafe เนื่องจากนายสเตนสันเองมีการกล่าวหาด้วยถ้อยคำดูถูกอาชีพนี้ ตัวอย่างเช่น “บางทีถ้าคุณออกไปข้างนอกและไปหางานจริงๆ ทำ คุณจะได้มีเงินจ่ายค่าสินค้าและบริการเหมือนกับคนอื่นๆ ได้”
นอกจากนั้นนายสเตนสันเองก็ประกาศอย่างชัดเจนว่า จะแบนพวกอินฟลูเอนเซอร์ทั้งหมดจากธุรกิจของเขา !
ตามด้วยอีกหลายโพสต์ที่เป็นการเหน็บแนมและขยี้ดราม่านี้ ตัวอย่างเช่น ใบเสร็จเก็บเงินจำลองที่ถูกพิมพ์ขึ้นมา เป็นเงินกว่า 5,289,000 ยูโร (184 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่ากระแสที่ทำให้เรื่องนี้เกิดเป็นบทความจำนวน 114 บทความจาก 20 ประเทศ จนทำให้มีคนเข้าถึงกว่า 450 ล้านคน
ภาพเสื้อยืดในเชิงประชดประชันที่มีรูปผู้หญิงนั่งอยู่หน้าโน๊ตบุ๊ค พร้อมข้อความ “ฉันต้องการของฟรีที่ The White Moose Cafe และทั้งหมดที่ฉันได้คือเสื้อยืดน่ารังเกียจตัวนี้”
โพสต์ในภาพนี้บอกว่านี่คือ “เถ้ากระดูกของวีแกน” และ “น้ำตาของบล็อกเกอร์” (แกเคยมีประเด็นกับชาววีแกน และแบนชาววีแกนไม่ให้เข้าร้านมาแล้ว )
จริงๆ แล้ว นี่ไม่ใช่ดราม่า 1-2 เรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับโรงแรมและคาเฟ่แห่งนี้ สเตนสันยังมีการโพสต์ดราม่าอื่นๆ ที่ไม่ถูกต้องในสายตาของเขาอยู่เสมอ แถมด้วยการตอบโต้อย่างถึงพริกถึงขิง และมุกตลกแบบเสียดสีที่รุนแรง จึงทำให้นายสเตนตันก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำเกินไปในหลายๆ ครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นธุรกิจของเขาก็ยังมีคนพร้อมสนับสนุนอีกมากมาย
“มันไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ มันเป็นเรื่องสนุก มันคือเรื่องตลกที่ไม่ได้หมายความเป็นอย่างอื่นเลย” นายสเตนสันกล่าว “เฟสบุ๊คไม่ใช่สถานที่สำหรับมืออาชีพ มันเป็นสถานที่สำหรับสนุกสนาน การมีส่วนร่วม และเสียงหัวเราะ”
“เรากรองคนที่ไม่ตลกได้จากเฟสบุ๊ค ผมมีห้องกว่า 30 ห้องเพื่อรองรับเฉพาะผู้คนที่มีความสุข”
เมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้วคุณคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ? การอีเมลไปขอเข้าพักฟรีของยูทูปเบอร์สาว เป็นการกระทำที่เหมาะสมหรือไม่ ? และการตอบโต้อย่างดุเดือดของเจ้าของโรงแรม ถือเป็นการสั่งสอนที่สมควรหรือเปล่า ? มาลองแสดงความคิดเห็นกันครับ
ที่มา : The White Moose Café | Boredpanda | เรียบเรียงโดย เพชรมายา
สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ