ย้อนกลับไปในปี 1945 ในระหว่างโครงการแมนฮัตตันซึ่งเป็นการวิจัยและพัฒนาของสหรัฐอเมริกาเพื่อสร้างระเบิดนิวเคลียร์ ในช่วงเวลานั้นเอง นักวิทยาศาสตร์ต้องการทราบว่า พลูโทเนียมมีผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์อย่างไร
ผู้คนที่ทำงานในโครงการแมนฮัตตันต่างทำงานใกล้ชิดกับพลูโทเนียมที่เพิ่งถูกค้นพบในปี 1940 เท่านั้น และพวกเขาต้องการทราบผลกระทบของพลูโทเนียมที่มีต่อร่างกายของพวกเขา
การทดลองเกิดขึ้นกับคนทั้งหมด 18 คน ที่มีอายุตั้งแต่ 4 ถึง 69 ปี ซึ่งเข้ารับการตรวจร่างกายในโรงพยาบาลที่กำหนด และหนึ่งในนั้นก็คือช่างทาสีและนักตกแต่งบ้านที่ชื่อว่า อัลเบิร์ต สตีเวนส์
อัลเบิร์ตถูกเลือกให้เข้าร่วมการทดลองเนื่องจากแพทย์คิดว่าเขาเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารและถูกมองว่าเขาเป็นคนน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ดังนั้นเขาคือคนที่เหมาะสมสำหรับเข้ารับการทดสอบที่มีความอันตรายอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเผชิญกับความอันตรายขนาดไหน
จากรายงานระบุว่า อัลเบิร์ตไม่ได้ถูกบอกว่าโดนฉีดอะไรเข้าไปในร่างกาย ในที่สุดเขาก็โดนฉีดพลูโทเนียมปริมาณ 131 kBq (3.55 µCi) เข้าไปในร่างกายและมันก็อยู่ในตัวเขาไปตลอดชีวิต
สิ่งที่ชวนช็อกหลังจากนั้นก็คือ เพียง 4 วันหลังจากการฉีดพลูโทเนียปริมาณมากเข้าสู่ร่างกาย อัลเบิร์ตก็ถูกตรวจร่างกายซ้ำอีกครั้ง แต่สิ่งที่คิดว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงแผลในกระเพาะอาหารเท่านั้น
แพทย์ที่ดูแลอัลเบิร์ตไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเขา และส่งเขากลับบ้านทันทีหลังจากการทดลองเสร็จสิ้น
ตลอดชีวิตที่เหลือของอัลเบิร์ต เขาสะสมปริมาณกัมมันภาพรังสีในร่างกายที่เพิ่มมากถึง 6,400 rem หรือประมาณ 300 rem ต่อปี เปรียบเทียบกับปริมาณรังสีต่อปีที่อนุญาตให้ผู้ที่ทำงานกับวัสดุกัมมันตรังสีในอเมริกาคือ 5 rem เท่านั้น
นั่นหมายความว่าอัลเบิร์ตได้รับปริมาณรังสีที่สูงกว่าปริมาณความปลอดภัยถึง 60 เท่า แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือ เขาสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้นานถึง 2 ทศวรรษ
ที่น่าสนใจก็คือ สมาชิกคนอื่น ๆ ที่ถูกทดสอบก็สามารถรอดชีวิตจากการสัมผัสกับพลูโทเนียมได้ ซึ่งอยู่ในร่างกายของพวกเขาไปตลอดชีวิตเช่นกัน ถึงแม้จะไม่ได้มีปริมาณเทียบเท่ากับอัลเบิร์ตก็ตาม มีเพียง 8 คนที่เสียชีวิตภายใน 2 ปี จากสาเหตุโรคประจำตัวที่ถูกระบุไว้ก่อนการทดสอบทั้งสิ้น
อัลเบิร์ต สตีเวนส์ เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจในปี 1966 หรือในอีก 20 ปีต่อมาในวัย 79 ปี
ที่มา: ladbible