ย้อนประวัติศาสตร์สาวผิวสีในสังคมชั้นสูงมีอยู่จริงในยุควิกตอเรีย

ย้อนกลับไปในยุควิกตอเรียในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ผู้หญิงผิวสาวที่อยู่ในสังคมชนชั้นสูงจะมีบทบาทที่เฉพาะเจาะจงมาก นั่นคือการเป็นภรรยาและเป็นแม่เท่านั้น แต่คุณอาจไม่เคยรู้ว่า ในยุคดังกล่าวมีผู้หญิงผิวสีที่เป็นชนชั้นสูงเช่นกัน และบทบาทของพวกเธอซับซ้อนกว่านั้นมาก

1. สาวผิวสี Black Victoria มีอยู่จริง

ในสังคมชนชั้นกลางของชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ผู้หญิงส่วนใหญ่ถูกคาดหวังให้ดำเนินรอยตามแฟชั่นในอุดมคติของคนผิวขาว ในขณะที่พวกเธอก็ยังต้องรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคมคนผิวสีเอาไว้

ในขณะเดียวกัน ในอังกฤษเองได้มีผู้หญิงผิวสีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ในสังคมชนชั้นสูง หนึ่งในนั้นได้กลายเป็นลูกทูนหัวของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียอีกด้วย

ถึงแม้ว่ามันจะหาได้ยากก็ตาม แต่ภาพเหล่านี้กลายเป็นหลักฐานอย่างดีว่าในสมัยนั้น มีสาวผิวสีที่ถูกเรียกว่า “Black Victoria” อยู่จริง พวกเธอดูมีชีวิตที่หรูหราไม่แตกต่างจากสาวผิวขาว แต่น่าเสียดายที่รายละเอียดของพวกเธอไม่ค่อยถูกเปิดเผยออกมามากนัก

2. ต้นกำเนิด Black Victoria ในอเมริกาและอังกฤษ

ย้อนกลับไปในสหรัฐอเมริกาปี 1880 แนวคิดเรื่อง Black Victoria ได้ซึบซับเอาแฟชั่นในสไตล์วิกตอเรียเข้ามาสู่ชุนชนชาวแอฟริกัน-อเมริกันบางแห่งโดยเฉพาะในรัฐอิลลินอยส์ โดยกลุ่มคนผิวสีจากทางเหนือและผู้อพยพจากทางใต้มารวมตัวกัน

ในสังคมไฮโซกลุ่มเล็ก ๆ Black Victoria กลายเป็นมาตรฐานความงามใหม่ของผู้หญิงผิวสีที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในอเมริกา มันเปรียบเสมือน “ลัทธิแห่งความเป็นผู้หญิงที่แท้จริง” โดยผสมผสานอุดมคติด้านแฟชั่นจากสังคมคนขาวมาผนวกเข้ากับประเพณีจากสังคมคนผิวสี

การใช้ชีวิตของผู้หญิงผิวสีในสังคมชั้นสูงไม่แตกต่างจากผู้หญิงผิวขาว พวกเธอมุ่งมั่นที่จะเป็นภรรยาและแม่ที่ดี คอยดูแลบ้านให้สวยงาม และทำงานบ้านต่าง ๆ นานา โดยอาจได้รับความช่วยเหลือจากคนรับใช้ และคอยเลี้ยงดูลูก ๆ ของพวกเธอเป็นอย่างดี

ส่วนในอังกฤษเอง ซาราห์ ฟอร์บส์ โบเนตตา เจ้าหญิงแอฟริกันก็ได้กลายมาเป็นลูกทูนหัวของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียในปี 1862 และเธอคือสาวผิวสีที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุควิกตอเรีย และที่มาของเธอก็ซับซ้อนกว่าที่หลายคนคิด

แต่เดิมทีซาราห์เป็นลูกสาวของกษัตริย์ในแอฟริกา ต่อมาเธอถูกจับตัวโดยศัตรูคู่อริของพระองค์และก็ถูกส่งตัวไปเป็น “ของกำนัล” ให้กับราชวงศ์อังกฤษเพื่อเป็นการผูกมิตรกับคนขาว

ส่วนราชวงศ์อังกฤษเองก็ใช้เธอเป็นเหมือนเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จในการล่าอาณานิคมในแอฟริกาในสมัยนั้น

3. ความรุ่งเรืองของสาว Black Victoria

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้หญิงผิวสีในยุควิกตอเรียไม่ได้เป็นแค่แม่บ้านและแม่ของลูก แต่พวกเธอเริ่มพัฒนาตัวเองไปไกลกว่านั้นมาก เริ่มจากการศึกษาหาความรู้ การเข้าสังคม บางคนกลายเป็นศิลปิน บางคนทำงานช่วยเหลือสังคม และอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการจะมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเองที่ไม่ใช่แค่การอยู่ติดบ้านอีกต่อไป

บ่อยครั้งที่สาววิกตอเรียผิวสีมีความเฉลียวฉลาดและมีการศึกษาที่ดี พวกเธอรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ออกมาทำงานนอกบ้าน โดยเฉพาะการเข้ามาช่วยเหลือชุมชนคนผิวสี เนื่องจากพวกเธอตระหนักดีว่าปัญหาด้านวัฒนธรรมและเชื้อชาติยังคงเป็นอุปสรรคต่อชุมชนของพวกเขา และในเมื่อพวกเธอมีโอกาสที่ดีกว่า จึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาโดยไม่ลังเล

ในช่วงเวลาที่คนผิวสีถูกมองว่าเป็นชนชาติที่ต้อยต่ำและเลวร้าย สาว Black Victoria จึงถูกคาดหวังว่าจะเป็นตัวแทนให้พวกเขาได้รับการยอมรับมากขึ้น

4. จุดสิ้นสุดของสาว Black Victoria

แม้ว่าสาววิกตอเรียผิวสีจะได้รับการนับหน้าถือตา แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่นานนัก ท้ายที่สุดยุคสมัยของพวกเธอก็จบลงหลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียในปี 1901

และถึงแม้ว่าการเลิกทาสในอังกฤษจะเกิดขึ้นในปี 1833 และในสหรัฐอเมริกาจะเกิดขึ้นในปี 1865 แต่การเลือกปฏิบัติทางด้านเชื้อชาติที่ฝังรากลงไปอยู่ในตัวบทกฎหมายก็ยังอยู่สืบต่อไปอีกนานหลายทศวรรษ

กลับมาที่ปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเข้าใจถึงความแตกต่างในความเป็นมนุษย์มากขึ้น ทุกคนมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์โดยเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคุณจะเกิดมาชนชาติใด เชื้อชาติใดหรือจะเป็นเพศใดก็ตาม นี่คือสิ่งสำคัญที่เราทุกคนต้องตระหนักเพื่อให้โลกของเราไม่กลับไปเป็นเหมือนในอดีตอีกต่อไป

ที่มา : allthatsinteresting | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ