พีระมิดแห่งบอสเนีย มันคือเนินเขาธรรมดาหรืออารยธรรมล้ำยุคสมัยโบราณ

ในช่วงกว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เมืองวิโซโค ในประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเนื่องจากมีสถานที่ที่เรียกว่า “พีระมิดพลังงาน” ที่มีต้นไม้ปกคลุมจำนวนหลายแห่งด้วยกัน มองเผิน ๆ มันดูเหมือนเนินเขาธรรมดา แต่ด้วยลักษณะรูปทรงของเนินเขาที่คล้ายกับพีระมิด จึงทำให้หลายคนเชื่อว่ามันอาจเป็นอารยธรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นมาตั้งแต่ในยุคโบราณ

Pljesevica Hill ที่มีความสูง 350 ฟุต และ Visocica Hill ที่มีความสูง 720 ฟุต ต่างถูกขนานนามว่าเป็น พีระมิดแห่งดวงจันทร์” และ “พีระมิดแห่งดวงอาทิตย์” ซึ่งเป็นพีระมิด 2 แห่งที่มีชื่อเสียงที่สุด

นอกจากนั้นยังมีพีระมิดอื่น ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากกันคือ “พีระมิดแห่งโลก”, “พีระมิดแห่งมังกร” และ “พีระมิดแห่งรัก” ซึ่งพีระมิดทั้งหมดถูกล่าวหาว่าเป็นสิ่งก่อสร้างจากฝีมือของมุษย์ในยุคโบราณ เพื่อเป็นแหล่ง “เสริมพลังงานด้านบวก” ให้กับมนุษย์

ถึงแม้นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันจะพยายามหาข้อเท็จจริงมาหักล้างคำกล่าวอ้างนี้ แต่ผู้คนที่มีชื่อเสียงรวมถึงเจ้าหน้าที่ในบอสเนีย และแม้แต่นักเทนนิสอันดับ 1 ของโลกอย่าง โนวัค ยอโควิช ก็ยังเชื่อเรื่องนี้

ความคลั่งไคล้เรื่องพีระมิดของชาวบอสเนียเริ่มต้นมาจาก เซเมีย “แซม” ออสมานากิช นักสำรวจวัย 60 ปีที่คนพบพีระมิดเหล่านี้ในปี 2005 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แซมได้กว้านซื้อที่ดินในบริเวณนั้นจำนวนมากเพื่อทำจากเจาะอุโมงค์เข้าไปในเนินเขาพีระมิด

นอกจากนั้นแซมยังสร้าง “สวนพีระมิด” ที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนหลายพันคนในทุก ๆ ปี โดยเขาอ้างว่า พีระมิดเหล่านี้มีพลังที่ช่วยรักษาผู้คนให้หายจากโรคร้ายได้

บางคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือแม้แต่มะเร็งก็เคยหายดีมาแล้วหลังจากมาเยี่ยมชมพีระมิดแห่งนี้ แต่แซมก็ไม่การันตีว่าทุกคนที่มาจะหายจากโรคทุกคน

แซมกล่าวว่า “ผมเห็นเนินเขาแห่งนี้ที่ปกคลุมไปด้วยต้นสนและพืชจำนวนมาก รูปทรงของมันเป็นเนินที่สมบูรณ์แบบมาก สำหรับผมแล้วเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เนินเขาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งก่อสร้างที่เกิดมาจากอารยธรรมอันสูงส่งเมื่อในอดีต”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แซมได้ปรากฏตัวทางโทรทัศน์หลายต่อหลายครั้งจนทำให้เขากลายเป็นคนดังระดับประเทศ เขาเล่าว่ามันคือพีระมิดโบราณที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 12,000 ปีก่อนโดยอารยธรรมโบราณที่สาบสูญและถูกฝังอยู่ใต้โลกของเราอย่างลับ ๆ

มีผู้คนที่คลั่งไคล้เรื่องพีระมิดมากมายจากทั่วโลกที่ติดตามแซมอย่างจริงจัง รวมถึงช่วยบริจาคเงินให้กับมูลนิธิ Pyramid of the Sun Foundation ของเขาอีกด้วย

ในปี 2006 หรือ 1 ปีหลังจากที่แซมได้เผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับพีระมิดของเขาไปทั่วประเทศ ก็มีกลุ่มนักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งได้ออกมาประณามแซมและผู้สนับสนุนเขา เกี่ยวกับการปล่อยข่าวเท็จไปสู่สาธารณชน

จากผลงานการศึกษาหลายชิ้นพบว่า โครงสร้างพีระมิดของแซมเป็นรูปแบบการก่อตัวทางธรรมชาติที่รู้จักกันในชื่อ Flatirons” ที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายร้อยแห่งทั่วโลก

“สิ่งที่เขาพบไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติอะไรในมุมมองทางธรณีวิทยา” โรเบิร์ต โชช นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยบอสตันกล่าว “มันเป็นเรื่องธรรมดามาก”

ถึงแม้คำวิจารณ์จากนักวิทยาศาสตร์และนักธรณีวิทยาจะออกมาตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาคิด แต่นั่นไม่ได้หยุดความทะเยอทะยานของเขาได้เลย แถมมันยังช่วยกระตุ้นให้เขาต้องการพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้

ด้วยความช่วยเหลือจากอาสาสมัครชาวต่างชาติหลายร้อยคนในการขุดค้น จนนำไปสู่การค้นพบเครือข่ายอุโมงค์ที่อยู่ภายในพีระมิด ยิ่งตอกย้ำความน่าเชื่อถือในสิ่งที่แซมพูดมากขึ้น ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านบอกว่า มันเป็นเพียงแค่เศษซากของเหมืองเก่าเท่านั้น

ต่อมา ทีมนักฟิสิกส์ของแซมเคยตรวจพบลำแสงพลังงานที่พุ่งผ่านด้านบนของพีระมิดแห่งพระอาทิตย์ โดยลำแสงดังกล่าวมีรัศมี 4.5 เมตร และมีความถี่ 28 กิโลเฮิร์ตซ์ โดยลำแสงดังกล่าวมีความต่อเนื่องและเข้มข้นขึ้นเมื่อพุ่งขึ้นเหนือพีระมิดไกลออกไป

ปรากฏการณ์ดังกล่าวขัดแย้งกับกฎฟิสิกส์และเทคโนโลยีของมนุษย์ที่เรารู้จักกันดี นอกจากนั้นในปี 2010 พวกเขายังค้นพบห้องโถงภายในอุโมงค์ 3 ห้อง ซึ่งมีระดับไอออไนเซชันสูงกว่าภายนอกถึง 43 เท่า จึงทำให้ห้องดังกล่าวถูกเชื่อว่าเป็น “ห้องเยียวยาผู้ป่วย”

นอกจากการค้นพบพีระมิด ในปี 2016 แซมยังเคยค้นพบหินทรงกลมขนาดยักษ์ ซึ่งเขาเชื่อว่ามันถูกสร้างขึ้นและมีส่วนเชื่อมโยงกับอารยธรรมโบราณผู้สร้างพีระมิด

ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา สวนพีระมิดของแซมมีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ โนวัค ยอโควิช ซูเปอร์สตาร์นักเทนนิสมาเยี่ยมชมที่นี่ถึง 2 ครั้ง ในเดือนกรกฎาคมและเดือนตุลาคม และโนวัคถึงกับเอ่ยปากว่าที่นี่คือ “สวรรค์บนดิน”

โนวัคกล่าวว่า “ผมรู้ว่ามีข้อถกเถียงกันมากมายเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ และเพื่อที่จะได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ คุณต้องมาสัมผัสด้วยตัวเอง”

ส่วนผู้เยี่ยมชมพีระมิดวัย 67 ปีรายหนึ่งบอกว่า “ฉันรู้สึกดี หายใจสะดวกขึ้น รู้สึกตัวเบาเหมือนได้รับพลังงานบางอย่างที่นี่”

“ฉันเคยมาที่นี่ทุกวันเสาร์เพื่อเดินผ่านอุโมงค์ประมาณ 40-60 นาที” ผู้หญิงที่เป็นโรคหอบหืดเห็นด้วย “ราคาไม่ใช่เรื่องสำคัญ เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้”

ปัจจุบัน สวนพีระมิดแห่งนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้กับแซมอย่างมาก เนื่องจากผู้เข้าชมต้องเสียค่าผ่านชมสวนรวมถึงเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินเป็นจำนวน 5 ยูโร หรือประมาณ 180 บาท

ที่มา : odditycentral | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ