Coco de Mer มะพร้าวทะเลที่ได้ชื่อว่าเป็นเมล็ดพืชที่ใหญ่ที่สุดในโลก

บริเวณหมู่เกาะเขตร้อนของหมู่เกาะเซเชลส์เป็นบ้านของต้นปาล์มในตำนานที่มีเมล็ดใหญ่โตมโหฬารจนได้รับการบันทึกจากกินเนสส์บุ๊กว่าเป็น “เมล็ดพืชที่ใหญ่ที่สุดในโลก”

Lodoicea maldivica หรือ Coco de Mer หรือที่รู้จักกันในชื่อ มะพร้าวแฝด, ตาลทะเล หรือมะพร้าวทะเล เป็นต้นปาล์มสายพันธุ์หายากที่มีความสูงระหว่าง 25 ถึง 34 เมตร และมันจะผลิตเมล็ดขนาดยักษ์ที่มีความยาวถึง 1 ฟุต มีเส้นรอบวงเกือบ 3 ฟุต และมีน้ำหนักกว่า 20 กิโลกรัม

ตำนานของ Coco de Mer มีปรากฎอยู่มากมายตั้งแต่ในสมัยอดีต นักเดินเรือในยุคโบราณมักพบเจอเมล็ดของพวกมันในทะเลโดยที่ไม่เคยเห็นต้นของมันมาก่อน มันจึงได้ชื่อในภาษาฝรั่งเศสว่า Coco de Mer ที่แปลว่า ‘มะพร้าวทะเล’ และผู้คนต่างคิดว่าต้นของมันคงอยู่ในทะเล

ซึ่งจริง ๆ แล้ว เมล็ดปาล์มที่หนักมากจะจมลงสู่ก้นทะเล หลังจากนั้นไม่นานเปลือกที่หุ้มมันจะหลุดออกและทำให้เมล็ดลอยขึ้นมาจากใต้ทะเล แต่บางคนก็เชื่อว่ามันเป็นผลไม้จากสวรรค์ที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า

ในขณะที่นาน ๆ ครั้งมันจะถูกคลื่นซัดเข้าหาฝั่งจนกลายเป็นของแปลกหายากยิ่งกว่าเพชรพลอย จนกระทั่งมันถูกนำไปถวายให้กับกษัตริย์หรือสุลต่าน ซึ่งถูกนำไปประดับบารมี หรือมีความเชื่อว่าเป็นยาวิเศษที่รักษาสารพัดโรค

เมล็ดของมันไม่ใช่สิ่งเดียวที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ แต่ใบของมันก็สามารถยาวได้ 7 ถึง 10 เมตร และกว้าง 4.5 เมตร ซึ่งถือว่าน่าทึ่งเมื่อพิจารณาจากการที่พวกมันเติบโตบนพื้นดินแข็งที่ขาดสารอาหารโดยเฉพาะไนโตรเจนและฟอสฟอรัสที่มีไม่มากนัก แต่มันก็ปรับตัวให้อยู่รอดได้โดยต้องการสารอาหารเพียงแค่ 1 ใน 3 ของพืชสายพันธุ์ใกล้เคียงกันเท่านั้น

ปัจจุบัน Coco de Mer ถูกพบได้แค่บนเกาะเล็ก ๆ ของประเทศเซเชลส์ ที่เป็นหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากชายฝั่งทวีปแอฟริกาไปทางตะวันออกราว 1,500 กิโลเมตร โดยมีต้นปาล์มที่โตเต็มที่ในป่าประมาณ 8,000 ต้นเท่านั้น ซึ่งทำให้มันตกอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์

ส่วนวงจรชีวิตของพวกมันที่ยาวนานหลายศตวรรษ จะผลิตเมล็ดออกมาแค่เพียง 100 เมล็ดเท่านั้น ดูเหมือนว่ามันจะใช้เวลาราว 7 ปี กว่าจะสุกงอม และอีก 2 ปีกว่าจะงอกขึ้นใหม่ ส่วนการงอกจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อต้นปาล์มมีอายุถึง “วัยแรกรุ่น” ซึ่งตามรายงานระบุว่า จะต้องใช้เวลาระหว่าง 80 ถึง 100 ปี เลยทีเดียว

เมล็ดพันธุ์ของ Coco de Mer เป็นที่ต้องการของผู้คนมาตลอดหลายร้อยปี โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สถานะของมันใกล้สูญพันธุ์เข้าไปทุกที แต่อ้างอิงจากวิกิพีเดียระบุว่า ในประเทศไทยของเราก็มีครอบครองอยู่ไม่กี่แห่ง เช่นที่สวนนงนุช พัทยา ที่สามารถเพาะขยายพันธุ์ได้สำเร็จ โดยไม่เป็นกี่แห่งในโลกที่ทำได้ รวมถึงสวนแสนปาล์ม ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ก็มีให้ชมเช่นกัน

นอกจากนั้นยังเคยมีการซื้อขายในราคาที่แพงมาก เพียงกะลาที่แห้งแล้วไม่สามารถนำไปเพาะปลูกได้ ยังมีราคาที่สูงถึง 26,000 บาทเลยทีเดียว

ที่มา: wikipedia | odditycentral