20 ผลิตภัณฑ์สุดแป้ก ที่ทำให้บริษัทเสียใจจนมาถึงทุกวันนี้

อย่างที่เราทราบกันดีว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกนั้นล้วนแต่มีบุคลากรที่มีคุณภาพมากมาย มีเงินทุนอีกเพียบ แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะมีผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จทุกครั้งไป บริษัทใหญ่ ๆ ที่เรารู้จักกันดี ล้วนแต่เคยเปิดตัวผลิตภัณฑ์เฟล ๆ ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่ามาแล้วทั้งสิ้น และวันนี้เพชรมายาจะขอพาทุกท่านมาชมความล้มเหลวเหล่านั้นกัน

1. Kitchen Entrees, Colgate, 1982

ในปี 1982 คอลเกต ได้เกิดไอเดียที่จะขยายแบรนด์แบบแปลก ๆ โดยพวกเขาตัดสินใจขายอาหารแช่แข็ง แต่ผลลัพธ์คือ ผู้บริโภคกลับคิดว่าอาหารของคอลเกตจะมีรสชาติเหมือนยาสีฟันของพวกเขา ไม่มีบริษัทไหนที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ยอดขายของผลิตภัณฑ์อื่น ๆ กลับแย่ลง แต่คอลเกตทำได้

2. Trump Steaks, Donald Trump, 2007

โดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจเปิดตัวสเต็กที่อ้างว่า “ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก” ในปี 2007 อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคกลับไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ ซึ่งสเต็กของทรัมป์ออกวางขายเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น ก่อนที่จะหายไปตลอดกาล

3. New Coke, Coca-Cola Co, 1985

ในปี 1985 โค้กได้ตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยนรสชาติใหม่ พวกเขาลงทุนไปกว่า 4 ล้านเหรียญ ในการทดสอบรสชาติที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ถึงแม้โค้กจะทำได้ดีในการทดสอบรสชาติ แต่หลังจากเปิดตัว ผู้คนกลับมีแต่ให้ความเห็นในเชิงลบแทบทั้งสิ้น และภายใน 3 เดือนหลังจากเปิดตัว New Coke ก็ถูกพับเก็บไปจนทางโค้กต้องกลับมาใช้รสชาติเดิม และรีแบรนด์ใหม่เป็น Coca-Cola Classic

4. Twitter Peek, 2009

นี่คือมือถือตัวแรกและตัวสุดท้ายที่ถูกผลิตโดย Twitter ที่เปิดตัวในปี 2009 โดยที่เจ้ามือถือเครื่องนี้สามมารถทำได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือการ “ส่งและรับข้อความในทวิตเตอร์” แถมคุณยังสามารถเห็นตัวอักษรได้เพียงแค่ 20 ตัวเท่านั้นในหน้าพรีวิว ไม่แปลกใจที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากได้เจ้ามือถือเครื่องนี้มาใช้สักเท่าไหร่

5. Cheetos Lip Balm, Cheetos, 2005

ในปี 2005 บริษัท ฟริโต-เลย์ ได้ตัดสินใจที่จะสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ โดยที่พวกเขาได้เปิดตัว “ลิปบาล์มรสชีโตส” ว่าแต่จะมีสักกี่คนที่อยากเอารสชาติของชีโตสมาทาปากบ้าง

6. Crystal Pepsi, 1992

ในปี 1992 เป๊ปซี่ได้เปิดตัวน้ำอัดลมไร้สีที่ชื่อว่า “คริสตัล เป๊ปซี่” และมันก็หายไปจากตลาดใน 1 ปีให้หลัง เดวิด ซี. โนวัค ผู้ที่คิดคอนเซปต์นี้ยอมรับว่า “มันจะดีกว่านี้ ถ้าผมมั่นใจว่ามันอร่อย”

7. Mcdonald’s Arch Deluxe, 1996

ในปี 1996 แม็คโดนัลด์ได้ตัดสินใจที่จะขยายกลุ่มเป้าหมายด้วยการเปิดตัวแฮมเบอร์เกอร์ Arch Deluxe ที่มีซอสสูตรลับ “มัสตาร์ดผสมมายองเนส” โดยเจาะกลุ่มผู้ใหญ่มากขึ้น พวกเขาลงทุนไปกว่า 100 ล้านเหรียญในการทำแคมเปญโฆษณาต่าง ๆ แต่ก็ไม่สามารถชักจูงให้กลุ่มเป้าหมายสนใจได้ สุดท้าย Arch Deluxe คือความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแม็คโดนัลด์ก็ว่าได้

8. Frito-Lay Wow! Chips, 1998

ในปี 1998 ฟริโต-เลย์ ได้เปิดตัวมันฝรั่ง “ไร้ไขมัน” ที่ชื่อว่า Wow! และภายในปีแรกก็สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 400 ล้านเหรียญ แต่ภายหลัง ยอดขายกลับลดฮวบฮาบ เนื่องจากมีการเปิดเผยว่า มันฝรั่งดังกล่าวประกอบไปด้วย โอเลสตรา (Olestra) ไขมันเทียมชนิดหนึ่งที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการปวดเกร็งในช่องท้อง และอาการท้องร่วง

9. Amazon’s Fire Phone, 2014

ยักษ์ใหญ่อย่างอเมซอนก็มีผิดพลาดกันได้ อย่างเช่นการตัดสินใจเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่ชื่อว่า Fire Phone ในปี 2014 และผลลัพธ์ก็คือการล้มเหลวครั้งใหญ่จนถูกยกเลิกผลิตในปีต่อมา ซึ่งทาง Tom Szkutak ซีอีโอของอเมซอน ระบุว่า กลยุทธ์ด้านราคาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้ล้มเหลว

10. Google +, 2011

ในปี 2011 ทางกูเกิ้ลเองได้เปิดตัวโซเชียลเน็ตเวิร์กของพวกเขาที่มีชื่อว่า Google+ โดยหวังว่ามันจะกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของเฟสบุ๊คในอนาคต แต่ตอนนี้เราได้เห็นแล้วว่า มันล้มเหลวขนาดไหน

11. Google Glass, 2013-2014

เป็นที่ฮือฮาอย่างมากสำหรับการเปิดตัว Google Glass ในปี 2013 โดยมันถูกวางจำหน่ายในราคา 1,500 เหรียญ ซึ่งมีราคาสูงกว่ามือถือ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดอยู่พอสมควร แถมผลลัพธ์กลับไม่สามารถใช้งานได้ตามที่คาดหวังไว้ และยังมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยและการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวอีกด้วย

12. Mazagran, Starbucks And Pepsi, 1995

จะเกิดอะไรขึ้นถ้า สตาร์บัคส์ ร่วมมือกับ เป๊ปซี่ พวกเขาผลิตเครื่องดื่ม “กาแฟผสมโซดา” ขึ้นมา แต่ดูเหมือนผู้คนจะไม่ปลื้มกับการฟีเจอริ่งในครั้งนี้ บางคนตอบไม่ได้ว่าจะชอบหรือจะเกลียดรสชาติของมันดี และสุดท้ายเครื่องดื่มนี้ก็ถูกหยุดผลิตไปในที่สุด

13. Ez Squirt Ketchup, Heinz, 2006

ในปี 2000 ไฮนซ์ ได้ตัดสินใจที่จะหักมุมผลิตภัณฑ์ของตัวเองมาจับกลุ่มเด็กด้วยการเปิดตัวซอส Ez Squirt ที่มาพร้อมสีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเขียวอมฟ้า, สีฟ้า และสีม่วง ไอเดียนี้ไม่ตอบโจทย์เด็ก ๆ สักเท่าไหร่ และในอีก 6 ปีต่อมา ไฮนซ์ก็หยุดผลิตซอสนี้

14. Cosmopolitan Yogurt, 1999

ใครจะไปติดว่า นิตยสารแฟชั่นชื่อดังอย่าง คอสโมโพลิแทน จะตัดสินใจเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหาร พวกเขาเกิดไอเดีย “คอสโมโพลิแทน โยเกิร์ต” โดยเล็งเห็นว่า กลุ่มเป้าหมายของพวกเขาจะเป็นคนชอบทานโยเกิร์ต แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ โยเกิร์ตนี้ถูกยกเลิกการผลิตหลังจากวางขายมานาน 18 เดือน

15. Blak, Coca-Cola, 2006

ดูเหมือนโค้กจะไม่ได้ศึกษาเรื่องราวของเป๊ปซี่สักเท่าไหร่ เพราะในปี 2006 โค้กได้เกิดไอเดีย “โค้กผสมกาแฟ” ที่มาในชื่อ Blak เครื่องดื่มนี้ได้รับผลตอบรับแย่ ๆ จากผู้บริโภค โดยเฉพาะเรื่องรสชาติและปริมาณคาเฟอีนที่มากเกินไป จนทำให้ทางโค้กต้องหยุดผลิตในอีกไม่กี่ปีต่อมา

16. Samsung Galaxy Note 7, 2016

นี่คือกระแสที่โด่งดังไปทั่วโลก หลังจากที่ซัมซุง กาแล็กซี่ โน้ต 7 เปิดตัวในปี 2016 ผู้คนต่างบ่นถึงอาการเครื่องร้อนและมีรายงานการระเบิดของโน้ต 7 อยู่เป็นระยะ จนทางสายการบินต่าง ๆ ถึงกับมีการห้ามนำโน้ต 7 ขึ้นเครื่องบินโดยเด็ดขาด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทางซัมซุงต้องเรียกเก็บมือถือเครื่องนี้คืนราว 2.5 ล้านเครื่อง คงไม่ต้องบอกว่าซัมซุงต้องขาดทุนกับเหตุการณ์ครั้งนี้มากแค่ไหน

17. Satisfries, Burger King 2013

เบอร์เกอร์คิงก็เคยพยายามที่จะทำเฟรนช์ฟรายที่ผลเสียต่อสุขภาพน้อยลง ด้วยการเปิดตัว Satisfries เฟรนช์ฟรายที่มีไขมันและแคลอรีน้อยกว่าปกติ เป็นทางเลือกให้กับคนที่รักสุขภาพ แต่ผู้บริโภคกลับไม่ปลื้มสินค้าใหม่ตัวนี้ จนทำให้ทางเบอร์เกอร์คิง ต้องกลับไปทำแต่สูตรต้นฉบับแทน

18. Windows Vista, Microsoft, 2007

ระบบปฏิบัติการ Windows Vista ที่เปิดตัวในปี 2007 คืออีกหนึ่งความล้มเหลวครั้งใหญ่ของไมโครซอฟต์ เนื่องจากมมีปัญหามากมายทั้งในด้านระบบรักษาความปลอดภัย ประสิทธิภาพการทำงาน การซัพพอร์ทไดรเวอร์ และอื่น ๆ อีกเพียบ

19. Dreamcast, Sega, 1999

เครื่องเกมคอนโซลที่ถูกผลิตโดยบริษัทเซก้า แต่ผลลัพธ์ของ Dreamcast กลับสู้ Play Station 2 ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทางเซก้าตัดสินใจทิ้งธรุกิจเกมคอนโซล และเปลี่ยนมาเป็นผู้พัฒนา Third Party แทน

20. Nokia N-Gage, Nokia, 2003

ย้อนกลับไปในปี 2003 การเล่นเกมแบบจริงจังบนมือถือยังไม่ได้เกิดขึ้น ดังนั้นทางโนเกียจึงตัดสินใจที่จะรวมมือถือกับเครื่องเล่นเกมไว้ด้วยกัน จนเกิดมาเป็น Nokia N-Gage ขึ้นมา แต่ผลตอบรับกลับไม่ได้เป็นอย่างที่โนเกียคาดหวังไว้ และพวกเขาขายมือถือเครื่องนี้ได้เพียงแค่ 1 ใน 3 ของจำนวนทั้งหมด 6 ล้านเครื่องเท่านั้น

ที่มา : boredpanda | เรียบเรียงโดย เพชรมายา