ทหารญี่ปุ่นคนสุดท้ายที่อาศัยในป่า 30 ปี โดยไม่รู้ว่าสงครามจบไปแล้ว

หลายคนอาจรู้จัก ฮิโรโอะ โอโนดะ ทหารญี่ปุ่นที่ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลบซ่อนตัวอยู่ในฟิลิปปินส์เป็นเวลานานกว่า 30 ปี โดยเขาไม่เคยรู้ว่าว่าสงครามสิ้นสุดลงแล้ว จนกระทั่งยอมมอบตัวในปี 1974 แต่เขากลับไม่ใช่ทหารญี่ปุ่นคนสุดท้ายที่ยอมจำนวนต่อสงคราม เพราะ 10 เดือนหลังจากนั้น ได้มีการพบนายทหารอีกคนหนึ่งที่มีชีวิตไม่ต่างจากฮิโรโอะเช่นกัน

นี่คือเรื่องราวของ เทรุโอะ นากามูระ ชายที่เกิดในไต้หวันโดยเป็นสมาชิกของชนเผ่าพื้นเมืองที่เรียกว่าอามิส และเข้ากับการเกณฑ์ทหารในเดือนพฤศจิกายนปี 1943 ในหน่วยอาสาสมัครทากาซาโกะของกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น

ในอีก 10 เดือนต่อมา เขาถูกส่งตัวไปประจำการอยู่บนเกาะโมโรไทของอินโดนีเซีย ซึ่งในตอนนั้นเอง กองกำลังอเมริกันและออสตรเลียได้เข้าโจมตีเกาะแห่งนี้ภายใต้ภารกิจที่ชื่อว่า ‘ยุทธการโมโรไท’ จนเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างทั้งทหารญี่ปุ่นและฝ่ายสัมพันธมิตร

มีทหารญี่ปุ่นจำนวนมากตัดสินใจยอมจำนน และอีกหลายคนเลือกที่จะหนีเข้าไปในป่าลึกของเกาะ เทรุโอเองก็เช่นกัน เขาหนีเข้าไปอยู่ในป่าลึกของเกาะพร้อมกับทหารญี่ปุ่นอีกหลายคน และพร้อมที่จะทำสงครามกองโจรตามที่ผู้บัญชาการสั่ง

ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ทหารญี่ปุ่นจำนวนมากไม่อาจรอดชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บและความอดอยากได้ หลายคนต้องยอมจำนนและยอมถูกจับ แต่เทรุโอะยังคงอยู่กับทหารกลุ่มเล็ก ๆ และตั้งใจปฏิบัติตามคำสั่งต่อไป โดยไม่เคยได้สื่อสารกับโลกภายนอกอีกเลย

เมื่อไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเทรุโอะ ทางกองทัพญี่ปุ่นจึงประกาศว่าเขาได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 1944 แต่อีกด้านหนึ่ง เทรุโอะใช้ชีวิตเอาตัวรอดอยู่กับทหารญี่ปุ่นหลายคนบนเกาะโมโรไทเป็นเวลานานถึง 12 ปี เนื่องจากพวกเขาขาดการติดต่อกับผู้บังคับบัญชา

ไม่มีใครทราบว่าสงครามได้สิ้นสุดลงไปนานแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีใบปลิวถูกโปรยทิ้งลงบนเกาะในปี 1945 โดยประกาศว่า ญี่ปุ่นได้ยอมจำนนและสงครามได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่เทรุโอะและเพื่อน ๆ ของเขาปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องนี้ โดยพวกเขาคิดว่ามันคือโฆษณาชวนเชื่อของศัตรู

ที่น่าสนใจก็คือ เทรุโอะยังคงมองเห็นเครื่องบินที่บินอยู่เหนือเกาะอย่างต่อเนื่อง เมื่อเครื่องบินมีความทันสมัยมากขึ้น เขาคิดว่ามันคือการแข่งขันกันทางอาวุธระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีฐานทัพอากาศของอินโดนีเซียอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนี้ และเขาก็เห็นการซ้อมบินแทบทุกวัน

ในปี 1956 ทารุโอะได้แยกตัวออกจากลุ่มเพื่อนและออกเดินทางตามลำพัง บางคนบอกว่าเพราะคนอื่นพยายามที่จะทำร้ายเขา เขาออกมาสร้างกระท่อมเล็ก ๆ ในทุ่งหญ้าและเอาชีวิตรอดด้วยการปลูกมันเทศและกินกล้วยจากต้นไม้

เขาสร้างความบันเทิงให้ตัวเองด้วยการตกปลาและเล่นเครื่องดนตรีกับลูกคิดที่เขาทำขึ้นเอง เขาทำอาหารเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้นเพราะคิดว่าศัตรจะได้มองไม่เห็นควันไฟของเขา

เทรุโอะนั่งนับวันที่ผ่านไปด้วยการสังเกตรอบของดวงจันทร์และพยายามนับเดือนและปีโดยการผูกเงื่อนบนเชือกเส้นหนึ่ง

“ผมอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างสงบ” เขากล่าวในภายหลัง “แม้ว่าผมจะไม่มีใครคุยด้วย แต่สิ่งที่ฝังลึกอยู่ในใจของผมดูเหมือนจะเป็นความหวังอันริบหรี่ ความสุขเพียงอย่างเดียวของผมคือการที่ผมยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้”

“การยังมีชีวิตอยู่ต่อไปคือเป้าหมายเดียวของผม และนั่นคือการใช้เวลาทั้งหมดของชีวิตผมไปแล้ว” เทรุโอะกล่าว

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เทรุโอะได้ติดต่อกับชาวท้องถิ่นที่ชื่อว่า ไบโคลี ซึ่งเขาได้รับสิ่งจำเป็นพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึง ชาและกาแฟ แต่มันก็เป็นไปแค่ช่วงเวลาหนึ่งจนกระทั่งไบโคลีเสียชีวิต

แต่ความตั้งใจของไบโคลีคือ เขาขอให้ลูกชายคอยช่วยดูแลเทรุโอะต่อไป ซึ่งรายงานบางฉบับระบุว่า ลูกชายของไบโคลีได้แจ้งเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการมีตัวตนอยู่ของเขา เนื่องจากเขากังวลเรื่องสุขภาพที่อ่อนแอลงเรื่อย ๆ แต่บางรายงานก็ระบุว่า มีนักบินคนหนึ่งมองเห็นกระท่อมของเทรุโอะในขณะที่บินผ่านเกาะ

ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ในเดือนพฤศจิกายน 1974 รัฐบาลอินโดนีเซียได้รับแจ้งว่าอาจมีทหารญี่ปุ่นอาศัยอยู่บนเกาะโมโรไท พวกเขาได้ทำงานร่วมกับสถานทูตญี่ปุ่นและการค้นหาจึงได้เริ่มต้นขึ้น

การค้นหาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทีมกู้ภัยจำเป็นต้องใช้วิธีโบกธงญี่ปุ่นพร้อมกับร้องเพลงชาติญี่ปุ่นเพื่อพยายามล่อเทรุโอะให้ออกมาจากที่ซ่อน และมันก็ได้ผล

ในที่สุด เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 1974 เทรุโอะ นากามูระ ในวัย 55 ปี ได้ปรากฎตัวขึ้น เขาไม่มีเสื้อผ้าและร่างกายดูอ่อนล้า แต่ก็มีสุขภาพที่ดีอย่างน่าประหลาดใจ

เทรุโอะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในกรุงจาการ์ตา ซึ่งเขาได้กรับการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดก่อนที่ทางการอินโดนีเซียจะส่งตัวเขากลับไต้หวันไปหาครอบครัวอีกครั้ง

เมื่อเทรุโอะกลับถึงบ้าน เขาพบว่าพ่อแม่ของตนเองได้จากไปแล้ว ส่วนลูกชายที่ยังแบเบาะตอนนี้ได้กลายเป็นคุณพ่อลูก 4 ไปแล้วเรียบร้อย ส่วนภรรยาของเขาที่คิดว่าเขาเสียชีวิตไปแล้วก็ได้แต่งงานใหม่

อีกเรี่องที่น่าสนใจก็คือ เงินบำนาญของเทรุโอะ

เมื่อเขาเกณฑ์ทหารในปี 1943 ไต้หวันเคยเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิญี่ปุ่น ต่อมาในช่วง 30 ปีที่เขาอาศัยบนเกาะ ไต้หวันกลับกลายไปอยู่ภายใต้การปกครองของจีน แม้ว่าเทรุโอะจะต่อสู้เพื่อกองทัพญี่ปุ่น แต่รัฐบาลญี่ปุ่นไม่คิดว่าพวกเขาควรจะจ่ายเงินบำนาญให้กับเขา เนื่องจากในทางเทคนิคแล้ว เทรุโอะไม่ใช่พลเมืองญี่ปุ่น

สิ่งนี้ทำให้เกิดความขุ่นเคืองในหมู่ประชาชนอย่างมาก เพราะเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ฮิโรโอะ โอโนดะ ทหารญี่ปุ่นที่เพิ่งถูกพบตัวในฟิลิปปินส์ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ในขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นแย้งว่า ฮิโรโอะเป็นพลเมืองญี่ปุ่นเต็มตัวและมียศเป็นนายทหาร ในขณะที่เทรุโอะเป็นเพียงอาสาสมัคร ซึ่งในตอนแรกพวกเขาจ่ายเงินให้กับเทรุโอะเป็นจำนวน 68,000 เยน หรือเทียบเท่ากับเงินแค่ 7,700 บาทในขณะนั้น

กลับมาที่ไต้หวัน เทรุโอะรู้สึกตื่นเต้นกับผู้คนมากมายที่เขาได้พบ สามีใหม่ของภรรยาของเขาเต็มใจที่จะย้ายออกไปเพื่อปล่อยให้ทั้งคู่กลับมาคบกันอีกครั้ง แต่เทรุโอะเองไม่ต้องการสร้างความวุ่นวายในชีวิตใคร ดังนั้นเขาจึงอาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ใกล้ ๆ และใช้เวลาร่วมกันกับครอบครัวของเขาอยู่บ่อย ๆ

เป็นเวลา 4 ปีหลังจากที่เทรุโอะได้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ เขาก็ได้พ่ายแพ้ต่อการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในชีวิต จากการที่เป็นมะเร็งปอดและจากไปอย่างสงบในวันที่ 15 มิถุนายน 1979 เทรุโอะได้ทิ้งมรดกของชายผู้กล้าหาญและทหารผู้อุทิศตนเอาไว้เบื้องหลัง

ที่มา : allthatsinteresting | เรียบเรียงโดย เพชรมายา