การปะทะกันระหว่างเรือดำน้ำที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ เมื่อ 76 ปีก่อน

สหรัฐอเมริกามีเรือดำน้ำจู่โจมประจำการอยู่ 50 ลำ ถูกออกแบบมาเพื่อติดตามและทำลายเรือดำน้ำและเรือผิวน้ำของศัตรู ซึ่งจีนและรัสเซียมีจำนวนมากกว่าเท่าตัว

แต่น่าแปลกที่การต่อสู้ใต้น้ำที่สามารถจมเรืออีกฝ่ายได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ 100 ปี ของสงครามเรือดำน้ำ และมันเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการต่อสู้กันระหว่างเรือดำน้ำของอังกฤษที่โจมตีเรือดำน้ำของเยอรมันที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก

การต่อสู้เกิดขึ้นในปี 1945 เป็นช่วงใกล้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 หน่วยข่าวกรองอังกฤษสามารถสกัดกั้นการติดต่อสื่อสารของปฏิบัติการซีซาร์ ภารกิจลับในการขนส่งเทคโนโลยีทางทหารขั้นสูงจากเยอรมันไปยังญี่ปุ่นเพื่อใช้สู้กับกองกำลังอเมริกัน

เยอรมันใช้เรือดำน้ำ U-864 บรรทุกชิ้นส่วนและแบบร่างทางวิศวกรรมสำหรับอาวุธขั้นสูง รวมไปถึงนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันและญี่ปุ่น พร้อมปรอทเหลวจำนวนมากไปยังญี่ปุ่นเพื่อใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยชิ้นส่วนเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือชิ้นส่วนเครื่องบินเจ็ตที่ผลิตในเยอรมัน

ปฏิบัติการซีซาร์เริ่มขึ้นในวันที่ 5 ธันวาคม ปี 1944 ภายใต้การบังคับบัญชาของกัปตันเรือลาดตระเวน ราล์ฟ-เรมาร์ โวลแฟรม ยศของเขาเทียบเท่ากับผู้บังคับบัญชาการหรือพันตรีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่ายศไม่สูงสำหรับภารกิจที่สำคัญเช่นนี้

แผนการของเขาถือว่าเริ่มต้นได้ดี ฝ่ายสัมพันธมิตรควบคุมน่านน้ำส่วนใหญ่ที่เขาต้องเดินทางผ่าน โดยสหราชอาณาจักรควบคุมพื้นที่บริเวณทะเลเหนือซึ่งเป็นจุดที่อันตรายที่สุด ดังนั้นโวลแฟรมจึงตัดสินใจที่จะเลียบชายฝั่งและให้กองกำลังชายฝั่งของเยอรมันคอยปกป้องเขา

แต่โชคไม่ดีสำหรับเขา ขณะที่เรือผ่านคลอง Kiel ตัวถังเรือเกิดเสียหายจึงต้องมุ่งหน้าไปที่อู่ซ่อมเรือแห้งเพื่อทำการซ่อมแซม ในขณะที่กำลังซ่อมอยู่ที่เมืองเบอร์เกน ประเทศนอร์เวย์ เรือก็ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดของอังกฤษโจมตีด้วย“ระเบิดแผ่นดินไหว” ทำให้การซ่อมแซมเรือล่าช้าออกไปอีก

ความล่าช้านี้นำมาซึ่งความร้ายแรง เมื่อสหราชอาณาจักรสามารถสกัดกั้นการสื่อสารของภารกิจนี้ได้ พวกเขาส่งเรือดำน้ำอังกฤษไปเพื่อตอบโต้เรือดำน้ำเยอรมัน เรือ HMS Venturer ถูกส่งไปยังชายฝั่ง Fedje ประเทศนอร์เวย์เพื่อค้นหาเรือ U-864

เรือดำน้ำ HMS Venturer เป็นเรือดำน้ำจู่โจมที่รวดเร็ว แต่มีลูกเรือและอาวุธที่เล็กกว่าของเยอรมัน มันสามารถยิงตอร์ปิโดจำนวน 4 ลูกได้ในคราวเดียว และมีตอร์ปิโดรวมอยู่ในคลังอีก 8 ลูก

เรือดำน้ำอังกฤษอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของร้อยโทเจมส์ ลอนเดอร์ ที่ย้ายเข้าประจำตำแหน่งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี 1945 เขามีชื่อเสียงโดดเด่นในฐานะผู้บัญชาการเรือดำน้ำที่จมเรือเยอรมันไป 13 ลำ

เรือดำน้ำ Venturer มี 2 วิธีในการค้นหาเรือดำน้ำของศัตรู คือไฮโดรโฟนและโซนาร์เชิงรุก โซนาร์เชิงรุกสามารถเผยตำแหน่งของศัตรูได้ แต่ไฮโดรโฟนจะมีระยะที่จำกัด และตอร์ปิโดของเรือถูกออกแบบให้โจมตีเรือบนผิวน้ำ

โชคร้ายสำหรับลอนเดอร์และทีมงานของเขา เมื่อเขาเดินทางมาถึง โวลแฟรม และเรือ U-864 ก็ผ่านตำแหน่งของพวกเขาไปแล้ว เรือดำน้ำเยอรมันอยู่เหนือตำแหน่งของอังกฤษอย่างปลอดภัยโดยไม่มีใครตรวจพบ

แต่แล้วเครื่องยนต์ของเรือดำน้ำเยอรมันก็เริ่มขัดข้อง โวลแฟรมต้องตัดสินใจว่าเขาจะมุ่งหน้าทำภารกิจต่อพร้อมกับเสี่ยงกับปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้องขณะแล่นเรือผ่านทางเหนือของประเทศบอลติกและรัสเซีย หรือกลับไปเพื่อซ่อมแซมเรือ โวลแฟรมตัดสินใจมุ่งหน้ากลับไปที่เบอร์เกนเพื่อซ่อมแซมเรือ ทำให้เขาต้องผ่านกับดักของลอนเดอร์

เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ในขณะที่ลูกเรืออังกฤษกำลังมอนิเตอร์ไฮโดรโฟนของพวกเขา เขาจับตำแหน่งของเรือดำน้ำเยอรมันได้จากเสียงเครื่องยนต์ดีเซล ลอนเดอร์ได้เคลื่อนเรือดำน้ำเพื่อติดตามเสียง เขาพบว่าเสียงเครื่องยนต์มาจากใต้น้ำ

จากนั้นเขาก็เห็นบางอย่าง เขาสงสัยว่าเป็นกล้องปริทรรศน์ของศัตรู ซึ่งน่าจะเป็นเสากระโดงเรือดำน้ำของเยอรมันที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขณะกำลังดำอยู่ใต้น้ำ ลอนเดอร์รู้แล้วว่าเป้าหมายอยู่ตรงหน้านี่เอง

เรือ Venturer เริ่มสะกดรอยตามเรือ U-864 ไป ต่อมาเรือ U-864 เริ่มเดินตามเส้นทางซิกแซกเพื่อหลบหลีก เป็นสัญญาณว่าพวกเขาน่าจะตรวจพบเรือดำน้ำอังกฤษ

เรือดำน้ำอังกฤษตัดสินใจโจมตีด้วยการยิงตอร์ปิโดทั้ง 4 ลูกในคราวเดียว การยิงครั้งแรกเป็นการ “ยิงกระเพื่อม” โดยการยิงตอร์ปิโดแต่ละครั้งจะเกิดขึ้นห่างกันประมาณ 18 วินาที

เรือดำน้ำอังกฤษเริ่มบรรจุตอร์ปิโดอีกครั้ง พวกเขายิงไปทั้งหมดอีก 4 ลูก เมื่อนับตอร์ปิโดที่มีอยู่ทั้งหมด 8 ลูก พวกเขายิงพลาดไปถึง 7 ลูก

ตอร์ปิโดลูกสุดท้ายยิงถูกเป้าหมาย ผู้ดูแลไฮโดรโฟนของอังกฤษได้ยินเสียงตอร์ปิโด เสียงระเบิด เสียงบิดของเหล็กที่ยับยู่ยี่เหมือนกระดาษ และเสียงซากปรักหักพังของเรือเยอรมันที่จมสู้ใต้ท้องทะเล

เรือดำน้ำ U-864 จมอยู่ใต้น้ำโดยไม่ถูกรบกวนเป็นเวลาเกือบ 60 ปี จนกระทั่งกองทัพเรือนอร์เวยค้นพบซากเรือในปี 2003 จากปรอทที่รั่วไหล ทางการนอร์เวย์ตัดสินใจฝังซากเรือไว้ใต้ทรายและหินจำนวนมากเพื่อป้องกันความเสียหายต่อระบบนิเวศ

ที่มา : owearethemighty | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ