ชาว TikTok เผยเทรนด์เมนูใหม่ ‘ไก่ต้มยาลดไข้’ จนแพทย์ต้องออกมาเตือน

ในขณะที่ชายคนชื่นชอบความบันเทิงความสนุกสนานบน TikTok แต่ก็มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่ชอบสร้างเทรนด์แปลกประหลาดบน TikTok จนทำให้ชาวเน็ตส่วนใหญ่ต้องกุมขมับ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีเทรนด์การทำเมนูอาหารที่แปลกประหลาดบน TikTok ที่พวกเขาเรียกมันว่า Nyquil Chicken หรือ Sleepy Chicken โดยเป็นการนำไก่ไปต้มหรือทอดด้วย Nyquil ที่เป็นยาแก้ปวดหัว ลดไข้และแก้ไอ รวมไปถึงยายี่ห้ออื่น ๆ ที่คล้ายกัน

เทรนด์ที่ฮิตใน TikTok ตอนนี้กำลังกลายเป็นกระแสจนทำให้ใครหลาย ๆ คนอยากลองทำบ้าง

ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อคืนผมป่วย ผมเลยทำเมนู Nyquil Chicken ขึ้นมา” จากนั้นเขาได้วางเนื้อไก่ลงในกระทะ และราดมันด้วยยาลดไข้ที่ทำหน้าที่เหมือนกับน้ำมัน โดยยาที่เขาใช้ไม่ใช่ Nyquil แต่เป็น NightTime

“ผมเคยทำแบบนี้มาก่อน ปกติผมจะใช้มันประมาณ 4 ต่อ 3 ในขวด” เขากล่าวต่อโดยที่ไม่ได้อธิบายว่า 4 ต่อ 3 ในขวดหมายถึงอะไร และเขากล่าวต่อไปว่า “ถ้านี่เป็นครั้งแรก คุณสามารถใช้มันประมาณ 1 ใน 5 ได้”

“ไก่ต้องอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม และปล่อยให้มันสุกโดยใช้เวลา 5 ถึง 30 นาที” นี่คือช่วงเวลาที่กว้างมากสำหรับคนทำอาหาร

“ตรวจสอบให้แน่ใจว่า คุณได้พลิกไก่อยู่ตลอดเวลา บางครั้งไอระเหยของมันอาจทำให้คุณง่วงได้”

แน่นอนว่ามันเป็นไอเดียที่แปลกประหลาดและไม่น่าทำตามอย่างยิ่ง แต่ในเมื่อมันไปอยู่บน TikTok อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ เนื่องจากมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่พยายามทำตามสูตรนี้

แต่ล่าสุดแพทย์หลายท่านได้ออกมาเตือนว่านี่เป็นไอเดียที่แย่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจส่งผลให้เกิดการรับประทานยาเกินขนาด และส่งผลข้างเคียงตามมา

เช่นตัวยา เดกซ์โทรเมทอร์แฟน (Dextromethorphan) ที่เป็นส่วนผสมของยาแก้ไอ เมื่อรับประทานเกินขนาดอาจส่งผลให้เกิดอาการง่วงนอน เวียนศีรษะ ชัก คลื่นไส้ อาเจียน ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง ท้องผูก ปัญหาด้านการหายใจ ตาพร่า ใจสั่น มีไข้ เห็นภาพหลอน จนรุนแรงไปถึงสมองเสียหายและมีอาการโคม่า

ตัวยา อะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen) หรือที่เราคุ้นกันในชื่อพาราเซตามอล หากรับประทานมากเกินไปจะส่งผลต่อตับจนทำให้ตับวายได้

นอกจากนั้นการสูดดมไอระเหยของยาเองก็เช่นกัน เพราะคุณไม่มีทางควบคุมปริมาณยาที่เข้าสู่ร่างกาย จนส่งผลให้ได้รับยาเกินขนาดได้

สุดท้ายเราได้แต่หวังว่า เทรนด์ไก่ต้มยาลดไข้นี้จะเป็นเพียงแค่การเล่นตลกบนโลกออนไลน์เท่านั้น

ที่มา : nypost | forbes | เรียบเรียงโดย เพชรมายา