นี่คือมาราธอนสุดฉาวในโอลิมปิกเมื่อ 114 ปีก่อน ทั้งโหดทั้งโกงครบทุกรส

ถ้าพูดถึงการวิ่งมาราธอนที่สำคัญที่สุดรายการหนึ่ง ก็คงหนีไม่พ้นการแข่งขันมาราธอนในกีฬาโอลิมปิก ซึ่งจะถูกจัดขึ้นในวันสุดท้ายก่อนพิธีปิดการแข่งขัน แต่การแข่งขันในปัจจุบันนี้ไม่สามารถเทียบได้เลยกับการแข่งขันมาราธอนที่ฉาวโฉ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อ 114 ปีก่อน

ย้อนกลับไปในปี 1904 กีฬาโอลิมปิกได้ถูกจัดขึ้นในเมืองเซนต์หลุยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการจัดแข่งขันกีฬาแค่เพียง 1 ใน 3 ของในปัจจุบัน กีฬาส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าแข่งขัน และจากสาเหตุความตึงเครียดในสงครามสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น ประกอบกับการเดินทางอันยากลำบาก ทำให้มีนักกีฬาจากต่างชาติเข้าร่วมเพียง 62 คน เปรียบเทียบกับโอลิมปิกที่บราซิลในปี 2016 ที่มีมากถึง 11,544 คน นั้นแตกต่างกันมาก

ในความเป็นจริง เมืองที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ได้แก่ ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ซึ่งได้รับเลือกเป็นเมืองเจ้าภาพตั้งแต่แรก แต่ถูกตัดสินให้เปลี่ยนเป็นเมืองเซนต์หลุยส์ในภายหลัง เนื่องจากอิทธิพลจากการจัดงาน Louisiana Purchase Exposition World’s Fair ที่ถูกจัดขึ้นในเวลาเดียวกัน สุดท้ายทั้ง 2 งานก็ถูกนำมารวมกันเป็นงานเดียว ซึ่งมันดูเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมาก

แต่สิ่งที่ทำให้กีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ฉาวโฉ่ก็คือ การแข่งขันวิ่งมาราธอนระยะทาง 40 กิโลเมตร ซึ่งปกติแล้วจะต้องถูกจัดแข่งขันในช่วงเช้า แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ผู้จัดเลื่อนการแข่งขันไปในช่วงบ่ายแทน

นั่นหมายความว่า นักกีฬาทุกคนจะต้องวิ่งภายใต้อุณหภูมิที่สูงกว่า 33 องศาเซลเซียส

แถมมีการให้น้ำกับผู้เข้าแข่งขันแค่เพียงครั้งเดียว หลังจากการวิ่ง 17 กิโลเมตรไปแล้ว

ส่วนเส้นทางการวิ่งก็คือถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่น รถยนต์และรถม้าที่วิ่งนำทางอยู่ข้างหน้า สร้างปัญหาใหญ่ให้กับนักกีฬาตลอดเวลา เนื่องจากมันทิ้งฝุ่นฟุ้งกระจายมากมายเอาไว้ข้างหลัง

ชาร์ลส์ ลูคัส นักบันทึกประวัติศาสตร์โอลิมปิกกล่าวว่า “นักกีฬาแทบไม่ได้ดื่มน้ำ และผลพวงที่ตามมาก็คือ หลายคนต้องมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้”

นอกจากนั้น มีคนพบว่า วิลเลียม การ์เซีย นักวิ่งชาวอเมริกันล้มลงอยู่บริเวณกลางเส้นทาง เขามีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจเอาฝุ่นที่เกิดจากรถยนต์และรถม้านำทางเข้าไปจนมีอาการสาหัส จนเกือบเสียชีวิตในเวลาต่อมา

นี่คือ แอนดาริน คาร์วาฮาล บุรุษไปรษณีย์ชาวคิวบา 

คาร์วาฮาลน่าจะเป็นนักกีฬาที่ไม่ได้เตรียมตัวมามากที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้ เขาทำเงินของเขาทั้งหมดหายในนิวออร์ลีนส์ เขาเดินและโบกรถมาเรื่อยๆ จนมาถึงเซนต์หลุยส์ ตัดกางเกงของเขาทิ้งให้สั้นๆ จนดูเหมือนกางเกงของนักกีฬา โดยก่อนเริ่มวิ่งมาราธอน

นอกจากนั้นเขายังไม่ได้กินอะไรก่อนเริ่มแข่งนานกว่า 40 ชั่วโมง จนในระหว่างทาง เขาหยุดเพื่อหยิบแอปเปิ้ลจากสวนมากิน แต่ปรากฏว่าดันเป็นแอปเปิ้ลเน่า แม้ว่าเขาจะมีอาการปวดท้องรุนแรง แต่เขาก็วิ่งเข้าเส้นชัยสำเร็จ สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ เขาหยุดวิ่งคุยกับคนดูไปตลอดเส้นทาง แถมเขายังได้ที่ 4 อีกด้วย

2 นักวิ่งผิวสีชาวแอฟริกัน ที่เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกเป็นครั้งแรก

เลน ทวนยาเน และ แจน มาชิอานี สองนักวิ่งจากแอฟริกาใต้เป็นตัวเต็งที่จะวิ่งเข้าเส้นชัยอันดับต้นๆ แต่มันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทวนยาเนวิ่งเข้าอันดับที่ 9 และ มาชิอานีถูกสุนัขที่ดุร้ายวิ่งไล่จนหลุดออกนอกเส้นทาง ก่อนที่เขาจะกลับมาเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 12

เฟรเดอริก ลอร์ซ นักวิ่งชาวอเมริกันที่ได้อันดับ 1 แต่มาจากการโกง

ลอร์ซล้มลงเนื่องจากอาการขาดน้ำตั้งแต่ช่วง 14 กิโลเมตรแรก แต่ด้วยความที่เขาอยากวิ่งเข้าเส้นชัย ลอร์ซตัดสินใจที่จะแอบขึ้นรถบรรทุกไปลงยังเส้นทางการแข่งขัน 8 กิโลเมตรสุดท้าย จนกระทั่งวิ่งเข้าเส้นชัยสำเร็จ ทุกคนโห่ร้องแสดงความยินดีกับลอร์ซเนื่องจากเขาวิ่งเข้าเป็นอันดับที่ 1 และลอร์ซเองก็ตามน้ำไปด้วย แถมเขาได้ถ่ายรูปคู่กับลูกสาวของประธานาธิบดี อลิส รูสเวลต์

แต่จู่ๆ ก็มีคนตะโกนออกมาว่า ลอร์ซแอบนั่งรถมา จนลอร์ซต้องหงายการ์ดว่านี่คือ “การล้อเล่น” เท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้ทางโอลิมปิกตัดสินใจแบนเขาจากการแข่งขันตลอดชีวิต

เรื่องที่่น่าเหลือเชื่อของ โธมัส ฮิกส์

ฮิกส์คือนักวิ่งชาวอเมริกันที่เกิดในอังกฤษ เขาวิ่งไปได้เพียง 16 กิโลเมตร จนเริ่มมีอาการเหนื่อยล้าอย่างหนัก เขาพยามต่อสู้กับตัวเองจนกระทั่งล้มลง ก่อนที่ทีมช่วยเหลือ 2 คนจะเข้ามาดูอาการ แม้ว่าฮิกส์จะขอน้ำดื่ม แต่พวกเขากลับเอาน้ำอุ่นๆ ราดปากเขาเท่านั้น

ฮิกส์ตัดสินใจวิ่งต่อ จนกระทั่งอีก 11 กิโลเมตรก่อนถึงเส้นชัย ฮิกส์หมดแรงล้มลงอีกครั้ง เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนอกจากนอนพักอยู่เฉยๆ แต่ทางทีมงานของเขายังไม่ยอมแพ้ พวกเขาให้สาร “สตริกนิน ซัลเฟต” กับฮิกส์ ซึ่งเป็นยาที่ใช้กำจัดหนู

การให้ยาในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้คนเสียชีวิตได้ แต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ผู้คนใช้สารชนิดนี้เป็นเหมือนยากระตุ้น และก็ไม่มีกฏใดๆ ที่ห้ามให้ยากระตุ้นช่วยอีกด้วย

หลังจากที่ยาออกฤทธิ์ ฮิกส์กลับดูซีดเซียวและอ่อนแรง แต่หลังจากที่เขาได้ยินเรื่องการตัดสิทธิ์ผู้ชนะที่โกงการแข่งขัน เขาบังคับตัวเองเฮือกสุดท้ายเพื่อลุกขึ้นวิ่งอีกครั้ง ทางทีมงานไม่เชื่อว่าฮิกส์จะทำได้ และให้สตริกนินกับฮิกส์อีกรอบพร้อมกับไข่ขาวและบรั่นดี

จนกระทั่งเหลืออีก 3 กิโลเมตรสุดท้าย ฮิกส์วิ่งไปราวกับเครื่องจักรที่ได้รับการหล่อลื่น นัยน์ตาของเขาดูว่างเปล่า ไร้แววสดใส สีหน้าของเขาซีดเผือก แขนถูกทิ้งลงข้างลำตัว เขาแทบจะยกขาไม่ขึ้น เข่าของเขาเกือบจะแข็งเกร็ง

ในขณะนั้นเอง ฮิกส์เริ่มมีอาการประสาทหลอน เขาเชื่อว่าเส้นชัยยังคงอยู่ห่างไปอีก 30 กิโล ในระหว่างกิโลเมตรสุดท้าย เขาขออาหารกิน จากนั้นก็นอนลง ทีมงานเขาให้บรั่นดีกับฮิกส์ ตามด้วยไข่ขาวอีก 2 ฟอง จนกระทั่งเข้ามาสู่สนาม ฮิกส์พยายามวิ่งแต่มันเหมือนกับการเดินลากเท้า ทีมงานของเขาตัดสินใจเข้าไปลากฮิกส์แบบตัวลอยขาลากเข้าเส้นชัย และฮิกส์ก็ถูกประกาศว่าเป็นผู้ชนะ

หลังจากนั้น ต้องใช้แพทย์ 4 คนเข้ามาดูอาการ และฮิกส์ต้องใช้เวลานานกว่าชั่วโมงกว่าจะลุกขึ้นจากพื้นได้ น้ำหนักของเขาลดลงไปถึง 3.6 กิโลในระหว่างการแข่งขัน ฮิกส์กล่าวว่า “ผมไม่เคยวิ่งในเส้นทางที่ยากลำบากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต มันแทบจะฉีกร่างกายผมออกเป็นชิ้นๆ”

สรุปแล้วการแข่งขันวิ่งมาราธอนครั้งนี้ มีผู้เข้าแข่งขัน 32 คน แต่มีเพียงแค่ 14 คนเท่านั้นที่สามารถวิ่งเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ

หลังจากการแข่งขันวิ่งมาราธอนที่ฉาวโฉ่ที่สุดจบลง ในปีต่อมา ฮิกส์และลอร์ซได้มีโอกาสวัดฝีมือกันอีกครั้งในรายการบอสตันมาราธอน แต่ครั้งนี้ ลอร์ซคือผู้ชนะเลิศ โดยที่ไม่ได้แอบนั่งรถลักไก่มาแต่อย่างใด

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ

ที่มา : boredpanda | เรียบเรียงโดย เพชรมายา