ทำไมการทดลองฟิลาเดลเฟียจึงโด่งดัง ทั้ง ๆ ที่มันไม่เคยเกิดขึ้นจริง

การทดลองฟิลาเดลเฟียบนเรือ ยูเอสเอส เอลดริดจ์ เป็นหนึ่งในการทดลองของรัฐบาลสหรัฐที่มีชื่อเสียงที่สุดจนถึงปัจจุบันนี้ แต่ปัญหาเพียงอย่างเดียวของมันก็คือ การทดลองนี้อาจไม่เคยเกิดขึ้นจริง

ย้อนกลับไปในปี 1943 เรือพิฆาตหน้าใหม่ ยูเอสเอส เอลดริดจ์ ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ที่น่าสนใจหลายสิ่ง หนึ่งในนั่นก็คืออุปกรณ์ลับสุดยอดที่ว่ากันว่า สามารถทำให้เรือล่องหนจนศัตรูไม่สามารถมองไม่เห็น

เมื่อติดตั้งเครื่องกำเนิดพลังงานแหล่งความลับเรียบร้อย ลูกเรือก็เตรียมตัวสำหรับการทดสอบระบบ มันเป็นช่วงเวลากลางวันของฤดูร้อนที่มีอากาศแจ่มใส เครื่องกำเนิดพลังงานถูกเปิดขึ้นและมีแสงสีเขียวแกมน้ำเงินล้อมรอบเรือดังกล่าวเอาไว้

ต่อหน้าต่อตาลูกเรือทุกคน เรือเอลดริดจ์ได้หายวับไปกับตา…

พยานในอู่เรือนอร์โฟล์กในเวอร์จิเนียรายงานว่า พวกเขาเห็นเรือเอลดริดจ์ปรากฎขึ้นในน่านน้ำของพวกเขาก่อนที่มันจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว หลายชั่วโมงต่อมามันก็กลับมาที่ฟิลาเดลเฟีย

ในขณะที่ลูกเรือบนเรือมีอาการคลื่นไส้ สับสน และมีรอยไม้ บางคนหายเข้าไปติดอยู่ในโครงสร้างของเรือที่เป็นโลหะ ไม่ว่าจะเป็นพื้นหรือผนังในช่วงเวลาที่หายไป บางคนอ้างว่าวัสดุในเรือมีการเปลี่ยนไป

ทุกอย่างดูน่าเหลือเชื่อ มันฟังดูเป็นเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติ แต่ว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงหรือไม่

จุดเริ่มต้นของการทดลอง

เรื่องราวการทดลองฟิลาเดลเฟียถูกพูดถึงมานานหลายสิบปีแล้ว ถึงแม้ว่าข้อเท็จจริงหลาย ๆ ส่วนจะเป็นการคาดเดาล้วน ๆ จากเรื่องราวและรายละเอียดนับร้อยที่ถูกโยงเข้าไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

อันดับแรกคือ มอร์ริส เค. เจสซัป นักดาราศาสตร์ผู้หลงใหลใน UFO ได้รับจดหมายจากชายชื่อ คาร์ลอส อัลเลนเด ที่อ้างว่าเขาได้เห็นการทดลองลับที่กับตาที่อู่เรือฟิลาเดลเฟีย

อัลเลนเดอ้างว่าเขาอยู่บนเรือ เอสเอส แอนดรูว์ ฟูรูเซธ ในปี 1943 ในขณะที่เรือเอลดริดจ์ล่องหนไป ก่อนที่จะปรากฎตัวอีกครั้งในเวอร์จิเนีย และหายไปอีกครั้งก่อนที่จะกลับมาอยู่ที่เดินที่อู่เรือฟิลาเดลเฟีย

นอกจากนั้น เขายังประกาศด้วยว่า การทดลองนี้เป็นการพิสูจน์ทฤษฎีสนามรวม (Unified Field Theory) ของไอสไตน์ที่เป็นคนสอนทฤษฎีนี้ให้กับเขา

เจสซัปพยายามสืบสวนคำอ้างที่น่าเหลือเชื่อของอัลเลนเด แต่เขาก็ไม่พบหลักฐานทางกายภาพใด ๆ ที่สนับสนุนเรื่องนี้ว่าเป็นความจริง ดังนั้นเขาจึงสรุปว่าอัลเลนเดเป็นคนหลอกลวง

การเกิดขึ้นของทฤษฎีสมคบคิด

เรื่องราวการทดลองฟิลาเดลเฟียควรจบตั้งแต่ตรงนั้น จนกระทั่งในปี 1957 เจสซับได้รับการติดต่อจากสำนักงานวิจัยกองทัพเรือเกี่ยวกับรายงานแปลก ๆ ฉบับหนึ่ง

กองทัพเรือบอกว่าพวกเขาได้รับสำเนาของหนังสือที่ชื่อว่า The Case for the UFO ที่มีรายละเอียดบอกว่า UFO สามารถบินบนท้องฟ้าได้อย่างไร

สำเนาหนังสือฉบับนี้มีการจดบันทึกด้วยลายมือที่แตกต่างกัน 3 ลายมือ หนึ่งในนั้นถูกเชื่อว่าเป็นของมนุษย์ต่างดาว บันทึกเหล่านี้ถูกอ้างเป็นความเข้าใจเกี่ยวกับฟิสิกส์ขั้นสูงและเทคโนโลยีจากนอกโลก

อักษรที่ถูกจดบันทึกเอาไว้เป็นอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด และมีการวรรคตอนที่ผิดปกติจนทำให้ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ผู้ที่ใส่คำอธิบายประกอบนี้ไม่ใช่เจ้าของภาษาที่แท้จริง

ในขณะที่เจสซัปเชื่อว่า คำอธิบายประกอบเหล่านี้เป็นผลงานของอัลเลนเด บุคคลลึกลับที่เขียนจดหมายหาเขา เนื่องจากในบันทึกมีการกล่าวอ้างถึงตัวเขาและการทดลองฟิลาเดลเฟียหลายครั้ง

ถึงแม้จะยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่ทางสำนักวิจัยกองทัพเรือได้ตัดสินใจตีพิมพ์สำเนาหนังสือเล่มนี้ออกไปเป็นจำนวน 127 เล่ม แต่นั่นถือเป็นการชุบชีวิตให้กับ ‘การทดลองฟิลาเดลเฟีย’ โด่งดังขึ้นทันที

การขาดหลักฐานที่ชัดเจน

นอกเหนือจากคำกล่าวอ้างของอัลเลนเดและคำอธิบายที่ประกอบในสำเนาหนังสือเล่มนี้ ก็ยังไม่มีข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับการทดลองฟิลาเดลเฟียอีก หน่วยงานรัฐที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องประกาศว่าการทดลองนี้ไม่เคยมีอยู่จริง และไม่มีเอกสารใด ๆ ที่อ้างไปถึงการทดลองนี้

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การทดลองฟิลาเดลเฟียถูกพูดถึงในหมู่ผู้คนที่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดเท่านั้น จนกระทั่งฮอลลีวูดนำไปทำเป็นภาพยนตร์ที่ชื่อ The Philadelphia Experiment ในปี 1984

หลังจากนั้น 4 ปี ชายคนนี้นามว่า อัล บีเลก ได้ปรากฎตัวขึ้นและอ้างว่าเขาเป็นอีกคนที่อยู่บนเรือเอลดริดจ์ตอนที่มันหายไป และเขาถูกล้างสมองเพื่อให้ลืมมัน จนกระทั่งเขาได้เห็นภาพยตร์ดังกล่าว ความทรงจำของเขาก็กลับมาอีกครั้ง

คำอธิบายที่สมเหตุสมผลของพยานคนที่ 3

ถึงแม้จะมีชาย 2 คนที่อ้างถึงการทดลองฟิลาเดลเฟียที่ดูลึกลับ แต่สำหรับคำอธิบายที่ดูสมเหตุสมผลที่สุดมาจาก เอ็ดเวิร์ด ดันเจียน ชายที่ทำงานเป็นช่างไฟฟ้าของกองทัพเรือ ที่ประจำการอยู่ใกล้กับเรือเอลดริดจ์ในฤดูร้อนปี 1943

ตามข้อมูลของดันเจียนระบุว่า เครื่องกำเนิดไฟฟ้าถูกวางเอาไว้บนเรือเอลดริดจ์และเรืออิงสตรอมที่เขาทำงานอยู่เพื่อทำให้เรือทั้งคู่ล่องหนได้

อย่างไรก็ตาม คำว่า “ล่องหน” ไม่ได้หมายถึงการล่องหนทางกายภาพ แต่เป็นการล่องหนจากการตรวจจับโดยตอร์ปิโดแม่เหล็กของเรือดำน้ำเยอรมัน ซึ่งเรือไม่ได้หายไปไหนแต่เป็นเพียงแค่การลบสภาพแม่เหล็ก

ดันเจียนยังมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลสำหรับการเรืองแสงสีเขียวอมน้ำเงินของเรือ เขากล่าวว่าแสงเรืองดังกล่าวน่าจะคล้ายกับปรากฎการณ์ “ไฟของนักบุญเอลโม” (St. Elmo’s Fire) เป็นปรากฎการณ์ในทางสภาพอากาศอย่างหนึ่ง ที่พลาสมาแบบส่องสว่างถูกสร้างขึ้นจากปรากฏการณ์โคโรนาซึ่งเป็นการปล่อยประจุไฟฟ้าจากวัตถุที่มีปลายแหลม ในสภาพบรรยากาศที่มีสนามแม่เหล็กสูง

แสงไฟของนักบุญเอลโมจะปรากฎเป็นแสงเรืองสีฟ้าสดใส หรือเป็นสีม่วง และมักมีลักษณะเป็นแสงพวยพุ่งออกจากวัตถุที่เป็นแท่งยาว ๆ หรือมีปลายแหลม เช่น เสากระโดงเรือ บราลี ส่วนยอดของปราสาท จนไปถึงปลายปีกเครื่องบิน

นอกจากนั้นคำอธิบายเกี่ยวกับการหายไปของเรือน่าจะเกิดจากการเดินทางผ่านคลองภายในประเทศที่เอาไว้ใช้ทางการทหาร ซึ่งสามารถย่นระยะเวลาการเดินทางของเรือจาก 2 วันให้เหลือเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นการที่เรือเอลดริดจ์จะหายไปจากฟิลาเดลเฟียไปยังเวอร์จิเนีย และกลับมาที่เดิมอีกครั้งก็สามารถเกิดขึ้นได้ภายใน 1 วัน

ถึงแม้ข้อเท็จจริงของ เอ็ดเวิร์ด ดันเจียน ดูจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด แต่ผู้คนที่ชื่นชอบเรื่องลึกลับก็เลือกที่จะเชื่อเรื่องราวการทดลองฟิลาเดลเฟียในเวอร์ชันที่ลึกลับมากกว่านั่นเอง

ที่มา : allthatsinteresting | เรียบเรียงโดย เพชรมายา