17 สถานที่บนโลกใบนี้ ที่ห้ามไม่ให้คนธรรมดาอย่างเราเข้าไปเด็ดขาด

ไม่ใช่สถานที่ทุกแห่งบนโลกใบนี้ ที่เราจะสามารถเข้าไปท่องเที่ยวได้ทั้งหมด ยังมีสถานที่มากมายอีกหลายแห่งที่ห้ามไม่ให้เราเข้าไปด้วยเหตุผลปัจจัยบางอย่าง วันนี้เพชรมายาจะขอพาทุกท่านไปชมสถานที่เหล่านี้ ที่รับรองว่า คนธรรมดาแบบเราๆ ไม่มีวันได้ย่างกรายเข้าไปอย่างแน่นอน

1. อุโมงค์เมล็ดพันธุ์พืชแห่งสฟาลบาร์, นอร์เวย์

แหล่งสำรองเมล็ดพรรณจากทั่วโลก ที่อยู่ห่างจากขั้วโลกเหนือเพียง 1,300 กิโลเมตร เป็นที่รวบรวมเมล็ดพันธุ์พืชหลากหลายชนิดซึ่งเก็บไว้ในอุโมงค์ใต้ดิน โดยเมล็ดพันธุ์พืชนี้เก็บไว้เพื่อสำรอง จากพืชพันธุ์ทั่วโลก ในยามที่ขาดแคลนพืช หรือไว้หลบภัยในกรณีที่เกิดวิกฤติการณ์ไม่ว่าจะในภูมิภาคหรือระดับโลก แน่นอนว่าไม่มีใครที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไป ยกเว้นเจ้าหน้าที่ๆ เกี่ยวข้องเท่านั้น

2. เกาะเซนทิเนลเหนือ, อินเดีย

เป็นเกาะหนึ่งของหมู่เกาะอันดามันในอ่าวเบงกอล ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะอันดามันใต้ด้านใต้ รัฐบาลอินเดียจึงประกาศให้เกาะเซนทิเนลทั้งเกาะ รวมทั้งพื้นน้ำในระยะ 5 กิโลเมตรจากตัวเกาะเป็นเขตหวงห้าม เนื่องจากเกรงว่าชาวเซนติเนลที่อยู่บนเกาะแห่งนี้ไม่ยินดีต้อนรับบุคคลภายนอกใดๆ ทั้งสิ้น และพวกเขาจะจัดการคุณโดยไม่ลังเลหากเข้าไปใกล้ยังเกาะแห่งนี้

3. สุสานใต้ดินแห่งปารีส, ฝรั่งเศส

หนึ่งในสถานที่ลึกลับและน่ากลัวที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก มันคือสุสานใต้ดินที่เป็นทางเชื่อมอุโมงค์ขนาดใหญ่ ที่บรรจุร่างไร้วิญญาณเอาไว้กว่า 6 ล้านชีวิต จนได้ชื่อว่าเป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริเวณทางเข้ามีคำจารึกเป็นภาษาฝรั่งเศสที่แปลได้ว่า”หยุด! นี่คืออาณาจักรแห่งความตาย” โดยภายในสุสานถูกเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปชมได้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น แต่อีก 99% ในนั้นเป็นเขาวงกตที่ยาวกว่า 273 กิโลเมตร ที่ถูกห้ามเข้าไปเป็นอันขาด

4. แอเรีย 51, สหรัฐอเมริกา

แอเรีย 51 เป็นชื่อเรียกของฐานทัพที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐเนวาดา ในสหรัฐอเมริกาตะวันตก โดยมีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการ พัฒนาและทดสอบอากาศยานและระบบอาวุธ ในอดีตรัฐบาลสหรัฐเคยปฏิเสธการมีอยู่ของฐานทัพลับแห่งนี้ จนกระทั่งเพิ่งเปิดเผยอย่างเป็นทางการในปี 2013 และอย่างที่หลายคนทราบกันดีว่า มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับจานบิน มนุษย์ต่างดาว และการทดลองแบบลับๆ อยู่เสมอ

5. อารามพลูโตเนียน ในนครโบราณเฮียราโปลิส, ตุรกี

อารามในยุคโรมันที่สร้างเพื่อบูชาเทพเจ้าพลูโต ซึ่งเป็นเทพปกครองใต้พิภพ โดยตั้งอยู่ในนครโบราณเฮียราโปลิส ที่สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 2200 ปีก่อน โดยมันถูกเชื่อว่าเป็นประตูที่เชื่อมต่อกับขุมนรก ซึ่งนักบวชในยุคนั้นจะจูงสัตว์เลี้ยง เช่นวัวเข้าไปในพื้นที่บูชายัญซึ่งอยู่ในถ้ำ สักพักหนึ่งสัตว์เลี้ยงก็จะตาย โดยนักบวชไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้พบว่าเรื่องลึกลับนี้มีสาเหตุมาจากก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ที่รั่วไหลมาจากใต้ดิน และลอยสูงจากพื้นถ้ำประมาณ 40 ซม. ซึ่งเป็นระดับที่สัตว์หายใจ จึงทำให้มนุษย์ไม่เป็นอะไร

6. เมโทร-2, สาย D6, รัสเซีย

ในช่วงยุคของสตาลิน ได้มีการสร้างระบบขนส่งแบบลับๆ ใต้ดิน ที่รู้จักกันดีในชื่อ เมโทร-2 ซึ่งเชื่อมต่อกับสถานที่สำคัญๆ อย่าง พระราชวังเครมลิน, สนามบิน Vnukovo-2 และ สถาบันทางการทหาร โดยมันถูกใช้กันเฉพาะแค่เจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้น และทางการรถไฟมอสโกได้ปฏิเสธการมีอยู่ของอุโมงค์ลับเหล่านี้มาตลอด จนกระทั่งในปี 1994 ได้มีกลุ่มนักสำรวจภายในเมืองอ้างว่าพบทางเข้าทางระบบอุโมงค์รถไฟลับแห่งนี้เข้า ซึ่งในปัจจุบันนี้มีเพียง 1 จาก 4 สายเท่านั้นที่ได้รับการยืนยันว่ามีอยู่จริง โดยมีถูกเรียกว่าสาย D6 ที่ห้ามไม่ให้คนภายนอกเข้าไปโดยเด็ดขาด

7. ถ้ำลัสโก, ฝรั่งเศส

ในปี 1940 เด็กหนุ่ม 4 คนในเมืองลัสโก ได้บังเอิญไปพบถ้ำลับแห่งหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่า ซึ่งภายในถ้ำแห่งนี้มีจิตรกรรมฝาผนังของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้วาดไว้ จนภายหลังพบว่า ภาพดังกล่าวมีอายุตั้งแต่ 17,000 ปีขึ้นไป โดยมีทั้งภาพสัตว์ชนิดต่างๆ ภาพฝูงกวาง ภาพกระทิงดำขนาดใหญ่ และภาพวาดอื่นๆ อีกมากมายกว่า 2,000 ภาพ ปัจจุบัน ถ้ำแห่งนี้ได้ถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม แต่ยังสามารถเข้าชมถ้ำจำลองที่ถูกทำมาเสมือนจริงได้

8. เกาะโพเวกเลีย, อิตาลี

นี่คือเกาะที่ถูกเล่าขานกันว่า เป็นเกาะที่มีผีดุที่สุดในโลก โดยมันเป็นเกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองเวนิสและเมืองลิโด ทางตอนเหนือของอิตาลี ความหลอนเริ่มมาตั้งแต่ในสมัยอาณาจักรโรมันที่ใช้เกาะแห่งนี้เป็นที่อยู่ของเหยื่อกาฬโรค ต่อมาในยุคกลาง เมื่อกาฬโรคกลับมาระบาดอีกครั้ง เกาะแห่งนี้ก็กลายเป็นบ้านของผู้ป่วยนับพันราย ผู้คนจำนวนมากถูกฝังอยู่ภายใต้พื้นที่เกาะ ถึงกับมีคนบอกว่า พื้นดิน 50% บนเกาะแห่งนี้มีส่วนผสมของเถ้ากระดูกมนุษย์รวมอยู่ด้วย แถมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เกาะแห่งนี้ก็ยังกลายเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลจิตเวช ที่มีข่าวลือเรื่องการทำทารุณกรรมคนไข้มากมายอีกด้วย จนกระทั่งมันถูกปิดตาย และทางการเวนิสไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปเหยียบได้อีก

9. เกาะงู, บราซิล

เกาะที่มีเนื้อที่ขนาด พื้นที่ 430,000 ตารางเมตร แห่งนี้ถูกขนานนามว่า เป็นสถานที่ๆ อันตรายที่สุดในโลกอย่างแท้จริง เพราะมันปกคลุมไปด้วยงูสายพันธุ์ Golden Lancehead Viper ที่เป็นหนึ่งในงูที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก จำนวนมากมายทั่วทั้งเกาะ โดยคิดเป็นจำนวน 6 ตัวต่อ 1 ตารางเมตร หลังจากมีผู้เสียชีวิตบนเกาะแห่งนี้หลายราย รัฐบาลบราซิลปิดตายเกาะแห่งนี้ และสั่งห้ามไม่ให้ใครย่างกรายเข้ามาอย่างเด็ดขาด ยกเว้นเพียงแต่นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญเรื่องงูจริงๆ เท่านั้น ที่ต้องทำเรื่องขออนุญาตก่อน

10. เขตพื้นที่ภัยพิบัติเชอร์โนบิล, ยูเครน

อุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ขั้นร้ายแรงที่เกิดขึ้นในปี 1986 ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ทางตอนเหนือของยูเครน ส่งผลให้ต้องอพยพประชากรกว่า 3 แสนคน และพื้นที่บริเวณใกล้เคียงที่ถูกเรียกว่า เขตพื้นที่ภัยพิบัตเชอร์โนบิล ที่กว้างกว่า 30 กิโลเมตร ยังคงกลายเป็นเขตหวงห้ามจนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากมีกัมมันตภาพรังสีที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อม ที่เสี่ยงต่อการสุขภาพของมนุษย์ ส่วนเจ้าหน้าที่ยูเครประเมินว่า พื้นที่นี้จะไม่ปลอดภัยต่อชีวิตมนุษย์ไปอีก 20,000 ปี

11. เกาะนอร์ทบราเธอร์, สหรัฐอเมริกา

ใครจะไปเชื่อว่า เมืองที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนอันดับต้นๆ ของโลกอย่างนิวยอร์กซิตี้ จะมีเกาะร้างตั้งอยู่ได้ โดยมันเป็นสถานที่ๆ มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 คน จากเหตุเรือโดยสารล่ำหนึ่งล่มระหว่างการเดินทางมาเกาะ ต่อมาได้มีโรงพยาบาลริเวอร์ไซด์ถูกตั้งขึ้นกักกันและรักษาคนไข้ที่เป็นโรคฝีดาษ และสิ่งที่ทำให้เกาะแห่งนี้โด่งดังที่สุดก็คือ ชาวบ้านคนหนึ่งนามว่า แมรี มัลลอน หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไทฟอยด์ แมรี เป็นมนุษย์คนแรกที่ถูกบันทึกเอาไว้ว่า เป็นพาหะของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตของโรคไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อย ทำให้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก เนื่องจากเธอแทบไม่เคยล้างมือเลยแต่ดันเป็นคนทำขนม จนต่อมาเกาะแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้างไปในที่สุด

12. เขตพื้นที่ภัยพิบัติฟุกุชิมะ, ญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 ได้เกิดโศกนาฏกรรมที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น เมื่อผลจากแผ่นดินไหวและสึนามิทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ ในเมืองฟุกุชิมะ ได้รับความเสียหายและทำให้สารกัมตรังสีรั่วไหลออกมามากมายกระจายไปทั่วทั้งเมือง จนทำให้ผู้คนต้องอพยพออกไปกว่า 300,000 คน และทำให้เมืองแห่งนี้ร้างผู้คนไปในชั่วข้ามคืน ปัจจุบันพื้นที่เกิดภัยพิบัติยังคงเป็นเขตหวงห้ามของทางรัฐบาลญี่ปุ่น

13. สุสานจักรพรรดิฉินที่ 1 หรือสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้, จีน

ในปี 1974 ในขณะที่ชาวนาคนหนึ่งในมณฑลส่านซีกำลังขุดบ่อน้ำ ก็ได้พบกับกองทัพทหารดินเผาจำนวนมาก โดยแบ่งเป็นหุ่นทหารมากกว่า 8,000 คน รถม้า 130 คัน ม้า 520 ตัว และทหารม้า 150 คน กินพื้นที่กว่า 25,000 ตร.ม. ตามตำนาน สุสานแห่งนี้ใช้คนงานก่อสร้างถึง 700,000 คน โดยหุ่นทหารถูกจำลองมาจากคนจริง ที่ถูกสังหารทันที เพื่อให้วิญญาณสิงสถิตอยู่ในหุ่นเพื่อติดตามพระองค์ไปยังปรโลก และถึงแม้จะมีการขุดพบหุ่นดินเผามานานกว่า 70 ปี แต่ยังไม่เคยมีการพบพระศพขององค์จิ๋นซีฮ่องเต้เลย และแน่นอนว่ามันถูกห้ามเข้าไปโดยเด็ดขาด

14. เกาะเซิร์ทซี, ไอซ์แลนด์

เซิร์ทซีย์ (Surtsey) ถูกตั้งชื่อตามชื่อของ เซิร์ท (Surtr) ราชาของเหล่ายักษ์เพลิงที่เป็นตัวแทนของไฟจากภัยภิบัติ จากตำนานนอร์ส โดยในปี 1963 บริเวณเขตน่านน้ำของประเทศไอซ์แลนด์ ได้เกิดเหตุเการณ์ภูเขาไฟใต้น้ำระเบิด และภายในระยะเวลาไม่นานก็ได้เกิดเกาะแห่งนี้ขึ้น ซึ่งมีความยาวถึง 2.7 กิโลเมตร มันกลายเป็นสถานที่ๆ ได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกในทันที และได้กลายเป็นเขตสำหรับการทดลองทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวย่างกรายเข้ามาเด็ดขาด เพราะเกรงจะเกิดอันตรายได้

15. เกาะนีเฮา, ฮาวาย

เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 7 ของหมู่เกาะฮาวาย แต่ได้ชื่อว่าเป็น “เกาะต้องห้าม” โดยย้อนกลับไปในปี 1864 เอลิซาเบท ซินแคลร์ ได้ซื้อเกาะนีเฮามาจากอาณาจักรฮาวาย และกลายเป็นมรดกตกทอดไปสู่ตระกูลของเธอนับตั้งแต่นั้น จนกระทั่งในปี 1952 ได้เกิดโรคโปลิโอระบาด ในหมู่เกาะฮาวาย จนทำให้ทางเกาะปิดตัวไม่เปิดให้ผู้คนเดินทางเข้าออกได้อีก ปัจจุบันบนเกาะแห่งนี้มีประชากรราว 170 คน และกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ลึกลับและน่าสนใจที่สุดในโลก ผู้คนกล่าวว่า มีแต่คนในราชวงศ์หรือต้องเป็นมหาเศรษฐีที่รวยล้นฟ้าเท่านั้น ถึงจะสามารถผ่านเข้าไปได้

16. เกาะมอร์แกน, สหรัฐอเมริกา

ตั้งอยู่ในรัฐเซาท์แคโรไลนา และเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ “เกาะลิง” เนื่องจากบนเกาะแห่งนี้มี “ลิงวอก” อาศัยอยู่อย่างอิสระมากมายถึง 4,000 ตัว แต่ลิงทั้งหมดนี้ไม่ใช่ลิงที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้มาตั้งแต่แรก แต่พวกมันเป็นลิงติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ที่เริ่มหลบหนีออกมาจากเปอร์โตริโก โดยทางเซาท์แคโรไลนาได้เสนอเกาะมอร์แกน ให้เป็นที่พักอาศัยของลิงเหล่านี้ จนปัจจุบัน มันกลายเป็นอาณาจักรของลิงวอกที่ห้ามไม่ได้มนุษย์เข้าไป เพื่อความปลอดภัยของคนคนและลิงด้วย

17. โบฮีเมียน โกรฟ, สหรัฐอเมริกา

นี่คือที่ตั้งค่ายพักแรมกลางป่าที่มีเนื้อที่ขนาด 11 ตารางกิโลเมตร ที่ตั้งอยู่บนถนนโบฮีเมียน อเวนิว รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยในทุกๆปี ตั้งแต่ปี 1872 จะมีผู้ชายที่เป็นบุคคลสำคัญของโลกประมาณ 2,500 คนจะถูกเชิญมาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองระดับสูง ผู้ชนะรางวัลโนเบล เจ้าหน้าที่ทางการทหารระดับสูง ศิลปิน ประธานของมหาวิทยาลัยดัง เช่น ฮาร์วาร์ด หรือ เยล ส่วนรายละเอียดในค่ายแห่งนี้ยังไม่ถูกเปิดเผยแน่ชัด แต่ จอน รอนสัน นักข่าวคนหนึ่งได้อธิบายว่า ค่ายแห่งนี้ก็เป็นเหมือนการมาปล่อยแก่ การดื่มหัวราน้ำ พิธีกรรมที่น่าขนลุก ผู้คนเหล่านี้เป็นผู้ที่ถึงจุดสูงสุดในอาชีพพวกเขา แต่ในค่ายแห่งนี้ พวกเขาดูเหมือนกลับมาเป็นเด็กนักศึกษาอีกครั้ง

ที่มา : boredpanda | เรียบเรียงโดย เพชรมายา

สามารถติดตามเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ข้างล่างครับ